วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การฝึกสมาธิครั้งแรกในชีวิต

เมื่ออาตมา อายุได้ 3-4 ขวบ พ่อได้ฝึกให้อาตมามานั่งสมาธิเป็นประจำ พ่อบอกเสมอว่า
“ เมื่อจิตเป็นสมาธิ จะทำให้เรียนดี จำดี คิดดี ทำอะไรได้ผล และหากอำนาจสมาธิสูงขึ้น ก็จะแสดงฤทธิ์ได้อะไรได้”
อาตมาเมื่อยินเช่นนี้ ก็อยากระลึกชาติหนหลังได้ รู้จิตผู้อื่น และแสดงฤทธิ์ได้ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ มิความชอบเช่นนี้
สมัยอาตมายังเป็นเด็กก็ขี้เกียจนั่งสมาธิ แต่ถูกให้พ่อบังคับให้นั่งสมาธิฝึกให้ภาวนาว่า “ พุทโธ”
อาตมามาก็ถามโยมพ่อว่า “ พุท” หมายถึงอะไร “ โธ” หมาถึงอะไร
พ่อได้อธิบายว่า “ พุท” แปลว่า “ รู้” ส่วน “ โธ” แปลว่า “ เบิกบาน” แล้วพ่อยังพูดต่ออีกว่า
“ ต้องทำให้รู้ ให้เบิกบานให้ได้ อย่าท้อถอย”
สอนให้นั่งทำจนอายุได้ 5 ขวบ พ่อก็บังคับ แม่ก็บังคับ เวลาอาตมามานั่งว่า พุท หายใจเข้า โธ หายใจออกไปนี่ มันคันมันเบื่อ
ไม่อยากทำแล้วคัน และปวดเมื่อย อยากไปโดดน้ำเล่น ขึ้นปลายไม้แล้วกระโดดลงไปในน้ำ อยากไปเล่นของเล่นให้สนุกมากกว่า
ขณะที่นั่งสมาธิ อาตมาก็นึกว่า ไปชักว่าวดีกว่า สนุกดี พ่อบอกว่า
“ จำเนียร อย่านึกชักว่าว เดี๋ยวก็ตีหัวให้เท่านั้นเอง บอกให้หายใจเข้าพุท ออกโธ”
เอ ทำไมท่านรู้นะ เอ้านึกใหม่ นึกว่าปีนปลายไม้สูง กระโดดลงในน้ำ ทีแรกแปลงเอาหัวลง ทีที่สองม้วนตัวกลมเรียกว่ากระโดดลูกมะพร้าวตื้น สนุกเลย พ่อบอกว่า
“ จำเนียร อย่าคิดเรื่องขึ้นปลายไม้โดดลงน้ำไม่ได้นะ ต้องนึกว่า พุทโธ พุทโธ”
เอ อาตมาคิดไปไหนพ่อรู้นี่ อย่างงี้น่าศึกษาแบบนี้เหมือนกันนะ จะได้รู้หมด ทีหลังพวกเพื่อนโกหกอาตมาไม่ได้ อาตมารู้นะ อยากได้เหมือนกัน แต่ขี้เกียจ คิดใหม่ดีกว่า คิดว่าทำกลองมาตี ตุ้งๆ สนุกกว่า
“ อย่านึกตีกลอง เดี๋ยวกูตีหัวมึงเทานั้นเอง พูดไม่รู้เรื่อง”
ทีนี้ไม่กล้าคิดเรื่องกระโดดน้ำตีกลอง ต้องนึกว่าพุทโธๆ
วันหนึ่งพ่อบอกกับแม่ว่า (แม่ของอาตมาชื่อ ต้า)
“ ต้า วันนี้จะไปธุระ สองวันกว่าจึงจะกลับบ้าน จะไปดูคนไข้ คนป่วย คนบ้า ไปรักษาคนไข้ เขามาที่บ้านเราไม่ได้ ตัวระวังนะ อย่าให้ลูกจำเนียรคิดเรื่องอื่นเฝ้าให้ดี”
พอพ่อไป แม่คงไม่รู้ ถ้าแม่ไม่รู้ อาตมคิดสบายเลย ตื่นเต้นแล้ว พอพ่อออกเดินทาง แม่ก็ว่า
“ ถึงเวลาบ่าย 4 โมงแล้ว จำเนียรเข้านั่งสมาธิ”
อาตมาเข้านั่งสมาธิ นั่งยิ้ม นึกว่าแม่ไม่รู้อย่านึกเลย พุทโธ เสียเวลานักชักว่าวดีกว่า ทำว่าวตัวใหญ่ๆ อย่างดี พาวิ่งเลย ถ้าลมไม่มี ถ้ามีลมชักสนุก
นั่งชักว่าวอยู่พักหนึ่ง แม่บอกว่า
“ จำเนียร พ่อมึงสั่งว่าให้นึก พุทโธ อย่านึกชักว่าวเลย”
เอ สงสัยแม่ก็รู้เหมือนกันเอาใหม่ นึกว่าเอาทางมะพร้าวมาทำวัวเล่นในน้ำดีกว่า เจาะจมูกแล้วลากในคลองสนุก
แม่บอกว่า
“ จำเนียร อย่าคิดเรื่องเอาทางมะพร้าวมาทำวัวเล่นน้ำไม่ได้ ต้องคิดพุทโธ เดี๋ยวถูกตี เดี๋ยวพ่อมาตีน่าดู แม่ไม่กล้าโกหกพ่อเอ็งหรอก”
เอ แม่ก็รู้เหมือนกัน จะทำอย่างไรหมดหวัง เอาอีกที นึกว่าจะเอากระป๋อง เอาผ้าไปผูก แล้วเอาดินมาทำเป็นกลองตี เอาเชือกผูกทำให้ตึงแล้วตี ตุ้งๆ ดีกว่า 2-3 ลูกให้มีหลายเสียง
แม่บอกว่า
“ จำเนียรอย่าคิดตีกลองนะ เรื่องเอากระป๋องมาทำกลอง จะกี่เสียงก็ตาม อย่าไปคิด ให้คิดแต่ว่าพุทโธ เดี๋ยวพ่อตีเอาอีก เขาห้ามเรื่องตีกลอง เอาพุทโธ”
แม่ว่า อย่างนั้นถูกต้องแล้ว อาตมาก็ว่าแม่คงรู้มั้ง คิดอะไรก็ตามแม่ต้องพูดถูกทุกอย่าง ว่าอย่าคิดอย่างนั้นอย่างนี้ มานึกได้ว่าแม่นั้นชอบนั่งกรรมฐานเป็นประจำคงรู้ได้เหมือนพ่อ
ถ้าหากว่าอาตมาจะคิดเรื่องอื่นไมได้ มันไม่สนุก คิดตายดีกว่า หมดเรื่องไป ทีนี้โมโหแม่ แล้วไม่พอใจแม่แล้วเพราะแม่รู้เหมือนพ่อ ก็เลยนึกว่าตายๆๆ อย่างเดียว นั่งประชดให้ว่าตาย นึกว่าตายอย่างเดียว พอนึกว่าตายแน่ แม่ถามว่า “ ทำไมคิดเรื่องอะไร” ไม่ตอบๆ นึกว่าตายดีกว่า
ไม่คิดเรื่องเล่น ลูกคิดอะไร คิดแต่ว่าตาย แม่ฟังไม่ถนัด นึกว่าอะไร ทำไม นึกอะไร ท่านถามอย่างนั้นแล้วไปถามเพื่อนบ้านว่าใครมาสอน ถามพี่น้องว่าใครมาสอนให้ว่าอะไร ข้อนี้เดี๋ยวต้องถามพ่อ พ่อมาค่อยถามก็นั่งว่าอยู่จนกระทั่งรุ่งสว่าง
พ่อกลับมาจากรักษาคนป่วยมาเอาเครื่องยาที่บ้านเพิ่ม ก็ถามแม่ว่า
“ ต้า เมื่อคืนจำเนียรนั่งจนรุ่งเลยหรือ”
แม่บอกว่า “ นั่งตั้งแต่หัวค่ำ รุ่งสว่างยังไม่ลุก เรียกให้กินข้าวก็ไม่กินช่วยทีเถอะ”
พ่อมานั่งข้างหลังเอามือตบที่หัวเบาๆ แล้วก็นั่งพักหนึ่งจึงถามว่า
“ ต้า ใครมาสอนลูกเรา ทำไมสอนมรณสติ แล้วทำไมลูกว่าไม่หยุด”
แม่ถาม ” ว่าอะไร”
พ่อบอกว่า “ มรณสติแปลว่าระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์”
อาตมาว่า พ่อไม่รู้ พ่อพูดไม่ถูก เราว่าตายๆ แต่พ่อว่ามรณสติ
เมื่อก่อนพ่อก็พูดถูก แม่ก็พูดถูก แต่ทำไมวันนี้ทั้งพ่อและแม่พูดไม่ถูก ไม่ตรง หาว่าเรามรณสติ ไม่รู้อะไร แต่ความจริงคือ ความตายนั่นเอง
อาตมาว่า ตายๆ ท่านว่า มรณสติ เอ พ่อเคยรู้ทุกอย่าง วันนี้ไม่รู้สงสัยไปกินเหล้า หรือไปเที่ยวไม่รู้แล้ว ทีนี้ว่าตายๆ อย่างเดียว คืนนั้นก็ว่า ตายๆ เรื่อยไป เมื่อยก็เมื่อย คันก็คัน หิวก็หิว ปวดไปทั้งตัวทุกอย่างมันเกิดขึ้นพร้อมกันหมด
อาตมานึกว่าตายดีกว่า พอจิตหวิวๆ จะขาดช่วงนึกว่าตายจริงๆ กลัวว่า ถ้าตายแล้ว จะนรกยมบาลจะจับไปลงโทษ ต้องจับลงในกระทะน้ำร้อนตายแน่
อาตมาเคยตีปู ตีกุ้ง แมลงพี้ ตั๊กแตน มด ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากมาย จะตายก็กลัวลำบากอยู่ในนรกถูกยมบาลจับไปลงโทษ
แต่ถ้าจะไม่ตายก็กลัวถูกบังคับอีก จิตวุ่นวายมาก จะตายดี ไม่ตายดี แต่ใจยังท่องว่า ตายๆ ให้ตายอย่างเดียว ยุงกัดก็กัดให้ตาย หิวก็หิวให้ตาย ปวดก็ปวดให้ตาย
พอใกล้รุ่งสว่าง ช่วงหนึ่งจิตไม่อยากทำแล้ว จะลุกขึ้น จะเลิก ยอมแพ้เลิกเลย
แต่อีกใจหนึ่งยังนึกอยู่ว่า ถ้าเห็นยมบาลจึงค่อยหนีกลับ
อีกใจว่าต้องลำบากแน่ อย่าตายดีกว่าจะลุกขึ้นก็ลุกไม่ได้
พอเที่ยงวัน จิตริกๆ จะขาดๆ จะลุกขึ้นหนีก็ไม่ทันขาดวูบลงไปเลย พอสติขาดลงไปๆ มันรู้สึกสบาย มันมีความสุข ว่าง ใส ไม่มีใคร ไม่มียมบาล ไม่มีนางฟ้า ไม่มีสวรรค์ ไม่มีเทวดา ไม่มีอะไร สบายดี หูได้ยินเขาพูดกัน แต่ไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไร ฟังไม่ชัด แต่ว่าจิตใสอยู่ สงบอยู่แล้ว เกิดยิ้มขึ้นมา แม่เรียกพ่อมาดูว่า
“ ลูกมันทำอะไร มันยิ้ม มันคิดอะไร ทำไมฉันไม่รู้”
พ่อมาดูแล้วว่า
“ ลูกดับสมาธินี่ ไม่ใช่มรรค ผล นิพพาน”
เออ พ่อพูดถูก พ่อว่า ดับสมาธิ เพราะ ดับสมาธิ คือจิตนิ่ง แต่ไม่ใช่ มรรค ผล นิพพาน ไม่เห็นพระพุทธเจ้า ไม่เห็นพระอรหันต์ ไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นอะไร ไม่เห็นวิมาน ไม่เห็นนิพพานอะไรเลย มีแต่ว่างอยู่ แต่มีความสุขมาก
พ่อกับแม่อ้อนวอนว่า ให้ลุกขึ้น ก็ไม่อยากลุก กลัวความสุขนี้จะหายไป นึกในใจว่าจะนั่งเป็นเดือน เป็นปี
พอเลยเที่ยงมา แม่ปากหวานว่า
“ ลูกจำเนียร แม่มีบุญคุณลูกต้องเชื่อ”
พอนึกถึงบุญคุณ จิตมันอ่อนมาก และรักแม่ สงสารทันที ลุกก็ลุก และบอกกับแม่ว่า ถ้าผมลืมตาความสุขผมหายไปจะทำอย่างไร
แม่บอกว่า “ ลูกทำเองได้” เออ อาตมาโง่จริง อาตมานั่งใหม่ก็ได้ ทีหลังอาตมาแอบนั่ง ไม่ต้องลุกขึ้น ไปเลย แอบนั่งตอนหัวค่ำนั่งทันที พอเสร็จงานนั่งเลยสบายกว่านี้อีก พอลืมตาความสุขหายไปครึ่งหนึ่ง รู้สึกว่ามีตัวตนขึ้นมาอีกนิดหน่อย พอกินข้าวคำเดียวเท่านั้น ความร้อนเกิดขึ้น ตัวหนักขึ้นๆ หนักมากทีเดียว ความสุขไม่มีหายเกลี้ยง มีความทุกเหมือนกัน แต่ใจรักความสุขที่ได้พบ รักมากที่สุดไม่มีอะไรเท่า
อาตมาแอบไปนั่งในป่าช้า กลัวเขาตามก็เอาเชือกไปผูกกับกิ่งไม้แล้วมานั่งถืออยู่ พอใครเดินมาอาตมาก็ดึงกิ่งไม้ดังเช้งๆ คนตกใจนึกว่าผีหลอก แต่พ่อไม่กลัวผีเที่ยวตามหา ข้าวที่ตากแห้ง อาตมาใส่กระเป๋าตกเป็นทางพ่อตามไปเจอ ตอนพ่อมา อาตมาไม้รู้ว่าเป็นพ่อ เพราะนั่งหลับตาอยู่ พอได้ยินเสียงคน ก็เอามือดึงเชือกดังเช้งๆ พ่อไม่กลัวผีเดินไปใกล้ๆ เห็นสายเชือกก็เดินตามสายเชือก เห็นอาตมานั่งสมาธิ ตีปั๋งเช้าเลย ลุกขึ้นวิ่งเข้าบ้านเลย
พ่อบอกว่า “ อย่ามานั่งในป่าช้านั่งไม่ได้”
อาตมาว่า “ พ่อครับ อย่าตีผมตายนะครับ ผมยากได้ความสุขอันนั้นอีกสักครั้ง”
พ่อบอกว่า “ นั่นแหละ มรณสติ มรณะ แปลว่า ตาย สติแปล ว่าลึก ระลึกถึงความตาย”
อ้าวแล้วกัน อาตมานึกนี่เอง อาตมาว่าเอง คือนึกให้ตาย นั่งประชดให้ตายเท่านั้นเอง แต่ได้ผล ใจนั้นยังอยู่ในความว่าง ความสุขนั้นมากยังอยากที่เป็นอย่างนั้นให้ได้ ส่วนอารมณ์ที่แท้ปัจจุบันนี้ เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วนั้นไม่มีความสุขอะไรเลย

ตั้งแต่นั้นมาพยายามทำความเพียรด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอให้เขาใช้ให้ทำล่ะ พยายามหนีไปนั่งในป่าช้า ไม่ให้ใครไปพบบ้าง อะไรบ้าง หนีทำทุกวันเป็นประจำ

อาตมามีความซึ้งครั้งแรกที่เกิดขึ้น ความรัก ความใสบริสุทธิ์ ความซึ้งกับรักแม่นี้เท่ากัน ตามธรรมดารักแม่มาก กับพ่อไม่รัก กับพี่ กับน้อง กับคนอื่นก็ไม่รัก รักแต่แม่คนเดียว แต่อันนั้นยังอยากได้อยู่
บางครั้งตื่นขึ้นมาก็รีบนั่งสมาธิทันที เพราะอยากได้เหมือนเดิม พอถึงเวลาตอนบ่ายก็นั่งทันที พยายามหลบหลีไปนั่ง เวลาเขาใช้ให้ทำงาน ทำการ ก็ต้องใช้ให้ลุกขึ้น เพราะยังอยากได้อารมณ์อย่างนั้น ถ้าได้แล้วจะไม่ลุกต่อไปแล้ว จะนั่งให้สบายที่สุด คิดเสมอว่าจะหนีไปที่ไหน ให้พบกับความสุขอันนั้นอีกทีหนึ่ง แล้วจะไม่ลุกขึ้นอีกต่อไป อานิสงส์ที่พ่อแม่บังคับให้นั่งสมาธิและภาวนา มรณสติไม่รู้ตัวนึกว่าตายๆๆๆ อย่างเดียวยังติดมาตลอด

อาตมาชอบฟังพ่อพูดถึงกรรมฐาน พอท่านเล่าเรื่องเดินธุดงค์แล้วชอบฟัง เรื่องเดินธุดงค์ เรื่องไปเทศน์ที่ไหนๆ เจออุสรรคอย่างไร เจอช้าง เจอเสือ เดินธุดงส์แล้วหลงทาง 5 วัน 10 วัน ไม่ไดฉันข้าวอะไรเลย เรื่องอย่างนี้ชอบฟังจริงๆ แล้วศรัทธาชอบ ฟังท่านเล่าเรื่องแปลกๆ เช่น ไปเจอผีดุบ้าง อะไรต่ออะไร ไปรักษาคนบ้าบ้าง คนไข้ เป็นพระหมอไปในตัว ก็เลยทำให้ชอบเรื่องเหล่านี้ ท่านเล่าว่าบางครั้ง นั่งสมาธิ 2 วัน 3 วัน จนถึง 7 วัน

พ่อมักบ่นเสมอว่า ไม่น่าสึกมาเลย น่าจะอยู่เป็นพระตลอดไป เสียดายเพศบรรพชิต และเล่าชีวิตนักบวชที่มีแต่ความสงบสุข ไม่วุ่นวาย ยุ่งเหยิง แก่งแย่ง แข่งกิเลสกัน ให้อาตมาฟังตอนเป็นเด็กอยู่บ่อยๆ เลยทำให้อาตมาเกิดความเลื่อมใส รักที่จะเป็นพระตลอดมา
ตอนอายุ 6 ขวบเศษนี้ นึกอยากจะบวชแล้ว
ทำไมถึงอยากจะบวช
คำตอบก็คือถ้าบวชแล้วจะได้ทำสมาธิ มีความสุขที่สุด ไม่มีใครมากวนใจ และใช้วิชาหมอดู หมอรักษาโรคช่วยเหลือประชาชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น