วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตัวเองแบบง่ายๆ หน้า 5

เริ่มเจริญสมาธิ:-
อันดับแรก ขอให้ท่านที่จะเจริญสมาธิแต่งกายให้เรียบร้อยตามที่พึงจะมี ใช้เครื่องแต่งกายธรรมดาที่มีอยู่แล้ว แต่จัดให้เรียบร้อยเท่านั้นเอง

เครื่องบูชา:-
เครื่องบูชาพระ ใช้ดอกไม้ ธูป เทียน ตามที่จะพึงหาได้ ถ้าบังเอิญอย่างใดอย่างหนึ่งหาไม่ได้ก็ไม่ต้องวิตกกังวล ให้บูชาตามที่ของมีอยู่ แต่ถ้าในสถานที่บางแห่งหรือท่านที่อยู่เอง จะหาอะไรก็ไม่ได้ แม้แต่ธูปก็บังเอิญไม่มีก็ไม่เป็นไร ใช้มือกับใจบูชาด้วยความเคารพจริงก็ใช้ได้

บูชาพระ:-
เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วทำใจเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ให้แน่นอน แล้วกล่าววาจานมัสการพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ ดังนี้ (การกล่าวนี้ถ้าออกเสียงเบา ๆ พอได้ยินจะดีมาก แต่ถ้าไม่มีแรงก็ใช้นึกในใจก็ใช้ได้มีผลเสมอกัน) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ กล่าวอย่างนี้ ๓ หนแล้ว แปลเป็นไทยดังนี้ (ควรแปลเพื่อความมั่นใจและรู้เรื่องที่เรากล่าว) ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมนมัสการ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์พระองค์นั้นตลอดชีวิต

  • พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าฯ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
  • ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าฯ ขอถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
  • สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าฯ ขอถึงพระอริยสงฆ์สาวก ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
ต่อนี้ไปเป็นถ้อยคำที่กำหนดไว้ว่าจะรักษาให้มั่นคง ไม่ยอมให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ต้องว่าภาษาบาลีเพราะจะทำให้ฟุ้งเฟ้อเอาเพียงคิดในใจกำหนดไว้ว่า เราจะรักษาตลอดวันนี้และคืนนี้ ไม่ให้บกพร่อง และทุก ๆ วันจนกว่าจะตาย
  1. ราจะไม่ฆ่าและทรมานคนและสัตว์ให้ตาย หรือให้ได้รับความเดือดร้อน ตลอดชีวิต
  2. เราจะไม่ลักขโมย คดโกง หลอกลวง เป็นต้น ในทรัพย์สินของคนอื่นเอามาเป็นของเรา ตลอดชีวิต
  3. ราจะไม่ทำชู้ ลูกเมีย สามี ภรรยา และคนในปกครองของผู้อื่น โดยที่ผู้ปกครองและเจ้าของไม่อนุญาต ตลอดชีวิต
  4. เราจะไม่พูดปด คือวาจาไม่ตรงความจริง ไม่พูดวาจาหยาบให้เป็นที่สะเทือนใจของผู้รับฟัง ไม่ยุหรือนินทาคนอื่นให้เป็นเครื่องบาดหมางหรือแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์ตลอดชีวิต
  5. เราจะไม่ดื่มสุราและเมรัย ตลอดชีวิต
  6. เราจะไม่คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่น เอามาเป็นของตน โดยที่ท่านเจ้าของไม่ได้ให้ด้วยความเต็มใจ ตลอดชีวิต
  7. เราจะไม่จองเวรจองกรรม จองล้างจองผลาญคิดพยาบาทเพื่อพิฆาตแก้แค้นในบุคคลที่ทำให้ไม่พอใจ แต่ถ้าไม่หนักเกินไปเราจะให้อภัยแก่ผู้นั้น ตลอดชีวิต
  8. เราจะไม่ฝ่าฝืนพระธรรมวินัย มีศีล เป็นต้น ตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนนั้นด้วยความเคารพตลอดชีวิต
ทั้งหมดนี้ จะกล่าวโดยออกเสียงเบา ๆ พอได้ยิน หรือจะคิดในใจก็ได้ทั้ง สองอย่าง เมื่อนมัสการและปฏิญาณตามนี้แล้ว ท่านจะสวดมนต์ต่อตามที่จะพึงสวดได้ หรือจะไม่สวดมนต์ต่อ จะสมาทานพระกรรมฐานเลยก็ได้ตามใจท่าน มีผลเสมอกัน ถ้า จะสมาทานให้สมาทานดังนี้

ให้ท่านตั้งใจกล่าว นะโม ฯลฯ ๓ จบ แล้วกล่าวดังนี้ (อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจัจชามิ) แปลว่า ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้า ขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อสมาทานแล้ว กราบ ๓ ครั้ง ด้วยความเคารพ ต่อไปก็เริ่มทำสมาธิ การนั่ง ท่านจะนั่งขัดสมาธิ หรือพับเพียบก็ได้ ถ้าเป็นที่บ้านของท่านไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย จะนั่งเก้าอี้ห้อยขาลงหรือนั่งท่าไหนก็ได้ตามแต่ร่างกายจะสบาย จะยืน จะเดิน นอนก็ได้ไม่ห้าม ทำ เท่าที่ร่างกายสบายอย่าฝืนให้ร่างกายต้องถูกทรมาน จิตจะไม่เป็นสมาธิ

บทภาวนา:-
คำภาวนานี้ - ในที่นี้ขอแนะนำให้ภาวนาว่า "พุทโธ" เพราะสั้นและง่ายมีอานิสงส์มากหายใจเข้านึกตามว่า พุท หายใจออกนึกตามว่า โธ ใจนึกถึงพระพุทธรูปที่วัดไหนหรือพระที่บ้านก็ได้ หรือว่าชอบใจพระสงฆ์องค์ใด นึกถึงพระสงฆ์นั้นก็ได้ ตามแต่ใจจะต้องการและจำภาพง่าย ถ้าพระพุทธรูปอยู่ใกล้ให้ลืมตาดูพระพุทธรูป พอจำได้ดีแล้วหลับตานึกถึงพระพุทธรูป ถ้าภาพนั้นเลือนไปจากใจให้ลืมตาดูใหม่ แล้วหลับตานึกถึงภาพพระ ทำอย่างนี้สลับกันไป ในไม่ช้าจิตจะทรงสมาธิได้ดีไม่ต้องมองภาพพระ จิตสามารถนึกถึงภาพพระได้ ตลอดเวลาที่ต้องการ อย่างนี้ท่านเรียกว่า จิตเป็นฌาน อารมณ์เข้าถึงขั้นที่ต้องการ

ความต้องการของการเจริญพระกรรมฐาน:-
การเจริญพระกรรมฐาน ไม่ใช่ว่าจะต้องการทำใจให้สบายเฉพาะเวลาที่นั่งสมาธิเท่านั้น การนั่งสมาธิได้ดีขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อเลิกนั่งแล้วใจไม่ทรงการปฏิบัติในกฎ ๘ประการ ตามที่กล่าวมาแล้วได้ คือยังเผลอลืม ยังละเมิดเป็นบางวาระ ถือว่ายังเอาดีจริง ๆไม่ได้ เพราะยังเป็นทางเดินลงนรก แต่ละข้อถ้าละเมิดมีโอกาสลงนรกได้ จึงจำต้องเอาสมาธิใช้ในที่นั้นด้วย คำว่า สมาธิ แปลว่า ตั้งใจมั่น เวลานั่งฝึก เป็นการฝึกอารมณ์ให้
ทรงตัวเพื่อเอามาใช้ตามนี้ เมื่อเลิกนั่งแล้วมีใจ เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นปกติ ใจต้องระวังไม่ให้สิกขาบท ๘ ประการ ขาดตกบกพร่อง ทรงอยู่ด้วยดีตลอดเวลาเรียกว่า มีสมาธิครบถ้วน ถ้าปฏิบัติได้ครบถ้วนตามนี้และทรงได้ไม่ขาดตลอดกาล บาปที่ทำแล้วทั้งหมดไม่ให้ผลต่อไปเลิกไปอบายภูมิจนกว่าจะเข้านิพพาน

ความต้องการของใจ:-
ความต้องการของใจ คือความปารถนาให้มีใจต้องการที่ไปจุดเดียว คือ นิพพานเมื่อใจต้องการนิพพานจริงจัง จิตจะเริ่มสงบไม่ทุรนทุรายมาก จิตจะค่อยๆ บรรเทาความรักในระหว่างเพศ ความโลภ ความโกรธ ความหลงจะค่อยๆ สลายตัวไป จนถึงไม่เหลืออะไรไว้เลย จะมีแต่อารมณ์สบายใจเป็นสุข วางเฉยต่ออารมณ์ที่ทำให้ขัดใจและเฉยไม่สนใจต่อสิ่งที่ทำให้ชอบใจมีอารมณ์ปกติที่เรียกว่า " สังขารุเปกขาญาณ " เมื่อมาถึงตอนนี้มีหวังไปนิพพานแน่นอน

ก่อนทำอะไรทั้งหมดให้นึกถึงความตายไว้ก่อน:-
การนึกถึงความตายไว้เป็นปกติ ผลที่จะได้รับก็คือกิเลสทั้งหลายสลายตัวเร็วความต้องการผลในการเจริญกรรมฐานจะมีรวดเร็วมาก ฉะนั้นขอท่านนักปฏิบัติจงอย่าลืมคิดว่า เราจะตายไว้ และตั้งใจทำความดีตามพระสูตร ท่านจะมีผลตามนั้นแน่นอน
.

วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตัวเองแบบง่ายๆ หน้า 4

เกิดดีไม่มีอบายภูมิ (ต่อ)

ท่านให้ทำจิตให้ทรงตัวในอารมณ์ต่อไปนี้คือ
  1. คิดว่าชีวิตนี้ต้องตายแน่แต่เราไม่ทราบวันตาย ให้คิดตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าเธอทั้งหลายจงอย่าคิดว่าวันตายจะเข้ามาถึงเราในวันพรุ่งนี้ ให้คิดว่าอาจจะตายวันนี้ก็ได้ เมื่อคิดถึงความตายแล้วไม่ใช่ทำใจห่อเหี่ยว คิดเตรียมตัวว่าเราตายเราจะไปไหนจงตัดสินใจว่าเราต้องการนิพพาน ถ้าไปนิพพานไม่ได้ขอไปพักที่พรหมหรือสวรรค์ ถ้าต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์จะต้องไม่ลงอบายภูมิ แล้วพยายามรักษากำลังใจให้ทรงตัวในความดีที่เป็นที่พึ่งเพื่อให้เราเข้าถึงได้แน่นอนตามที่เราต้องการ คือ
  2. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ โดยปฏิบัติใน พุทธานุสสติ ตามที่แนะนำมาแล้วอย่าให้ขาด
  3. เคารพในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยใจนึกถึงความตายอย่างไม่ประมาท ทรงอารมณ์ไว้ใน อานาปานุสสติกรรมฐาน และกรรมฐานข้ออื่นๆ ที่ทำได้แล้วเป็นปกติ อย่าให้กรรมฐานนั้นๆ เลือนหายจากใจในยามที่ว่างจากการงานเวลาทำงานใจอยู่ที่งาน เวลาว่างใจอยู่ที่กรรมฐาน"
  4. ยอมรับนับถือพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติตามพระธรรมของพระพุทธเจ้า ที่พระสงฆ์นำมาแนะนำเลือกปฏิบัติตามที่พอจะทำได้
  5. ปฏิบัติและทรงกำลังใจใน ศีลและกรรมบถ ๑๐ อย่างเคร่งครัด ไม่ยอมละเมิดศีลและกรรมบถ ๑๐ อย่างเด็ดขาดเว้นไว้แต่ทำไปเพราะเผลอไม่ตั้งใจสำหรับศีลควบกรรมบถ ๑๐ ท่านให้ปฏิบัติดังนี้
อันดับแรก จงมีความเข้าใจว่าการปฏิบัติคือการใช้อารมณ์ให้เป็นสมาธิหมายถึงว่าจำได้เสมอไม่ลืมว่า ศีล และ กรรมบถ ๑๐ มีอะไรบ้าง เมื่อจำได้แล้วก็พยายามเว้นไม่ละเมิดอย่างเด็ดขาด ใหม่ๆ อาจจะมีการพลั้งเผลอละเมิดไปบ้างเป็นของธรรมดา เมื่อชินคือชำนาญที่เรียกว่า จิตเป็นฌาน คือปฏิบัติระวังจนชิน จนกระทั่งไม่ต้องระวังก็ไม่ละเมิด อย่างนี้ท่านเรียกว่าเป็นฌานในศีล และ กรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ ผลที่ทำได้ก็มีผลในขั้นต้นก็คือไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม หรือมาเกิดมาเป็นมนุษย์ชั้นดีตามที่กล่าวมาแล้ว

ผลของศีลและกรรมบถ๑๐ มีดังนี้
  1. เว้นจากการฆ่าสัตว์และทรมานสัตว์ ให้ได้รับความลำบากตลอดชีวิตเว้นอย่างนี้ได้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ใหม่จะเป็นคนมีรูปสวยมาก ไม่มีโรคเบียดเบียนอายุยืนยาวครบอายุขัยตายใหม่ไม่ต้องลงอบายภูมิต่อไป จนกว่าจะเข้านิพพาน
  2. เว้นการถือเอาทรัพย์สินที่คนอื่นไม่เต็มใจให้ หรือขโมยของเขาตลอดชีวิตและมีการให้ทานตามปกติ เว้นตามนี้ได้และให้ทานเสมอตามแต่จะให้ได้ ถ้ายังไม่มีพอจะให้ได้ก็คิดว่า ถ้าเรามีทรัพย์เราจะให้เพื่อเป็นการสงเคราะห์ อย่างนี้ถ้าตายไปจากชาตินี้ ก็ ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม หมดบุญจากเทวดาหรือพรหมมาเกิดเป็นคน จะเป็นคน ร่ำรวยมาก มีความปรารถนาในทรัพย์สมหวังทุกอย่าง ทรัพย์ไม่ถูกทำลาย เพราะโจร ไฟ น้ำ ลม และจะรวยตลอดชาติ
  3. เว้นจาการทำชู้ ลูกเขา ผัวเขา เมียเขา ตลอดชีวิต เว้นอย่างนี้ได้ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมแล้วลงมาเกิดเป็นคนจะมีคนในปกครองดีทุกคนจะไม่หนักใจเพราะคนในปกครองเลย
  4. เว้นจาการพูดปด
  5. เว้นจาการพูดหยาบ
  6. เว้นจากการพูดยุให้ชาวบ้านแตกร้าวกัน เว้นจาการพูดวาจาที่ไม่เป็นประโยชน์ตลอดชีวิต เว้นอย่างนี้ได้ หลังจากเป็นเทวดาหรือพรหมแล้ว มาเกิดเป็นคน จะเป็นคนที่มีวาจาเป็นที่รักของผู้รับฟัง ไม่มีใครอิ่มหรือเบื่อในการฟัง ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านท่านเรียกว่ามีวาจาเป็นมหาเสน่ห์ หรือมีเสียงเป็นทิพย์ คนชอบฟังเสียงที่พูด การงานทุกอย่างจะสำเร็จเพราะเสียงทรัพย์สินต่างๆ จะเกิดขึ้นเพราะเสียง ถ้าพูดโดยย่อก็ต้องพูดว่ารวยเพราะเสียง หรือเสียงมหา-เศรษฐีนั่นเอง
  7. เว้นจากการดื่มน้ำเมาที่ทำให้เสียสติทุกประการตลอดชีวิต เว้นได้ตามนี้เมื่อเกิดเป็นคนใหม่จะไม่มีโรคปวดศีรษะ ไม่เป็นโรคประสาท ไม่มีโรคบ้ามารบกวน เป็นคนมีมันสมองดีปลอดโปร่งในอารมณ์ (เป็นคนฉลาดมาก)
  8. เว้นจากการคิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นเอามาเป็นของตน ข้อนี้ไม่ได้ขโมยและไม่คิดว่าจะขโมยด้วย เป็นการคุมอารมณ์ใจ
  9. ไม่คิดประทุษร้ายจองเวรจองกรรมจองล้างจองผลาญใคร มีจิตเมตตาคือความรักในคนและสัตว์เหมือนรักตัวเอง
  10. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสั่งสอนทุกประการไม่สงสัยในคำสอนและผลของการที่ปฏิบัติตามคำสอนแล้วมีผลความสุขปรากฏขึ้น ผลของการเว้นในข้อ๘, ๙, ๑๐ นี้ เมื่อเกิดใหม่จะเป็นคนมีอารมณ์สงบสุข ไม่มีความทุกข์ทางใจอย่างใดอย่างหนึ่งเลยและเป็นผลที่ทำให้เข้าถึงพระนิพพานง่ายที่สุข
เมื่อท่านเว้นตามนี้ได้ การเว้นควรเว้นแบบนักเจริญสมาธิ คือมีอารมณ์รู้เพื่อเว้นตลอดเวลา เมื่อเว้นจนชิน จนไม่ต้องระวังก็ไม่ละเมิด อย่างนี้ถือว่าท่านมีฌานในศีลและกรรมบถ ๑๐ ประการ ท่านเรียกว่า เป็นผู้ทรงฌานในสีลานุสสติกรรมฐาน

อานิสงส์ที่ได้แน่นอน
อานิสงส์ คือ ผลของการปฏิบัติได้ครบถ้วนและทรงอารมณ์ คือไม่ละเมิดต่อไป ท่านบอกว่าเมื่อตายจากความเป็นคนชาตินี้ ไม่มีคำว่าตกนรก เป็นต้น ต่อไปอีกในระยะแรกก่อนปฏิบัติท่านจะมีบาปหนักหรือมากขนาดใดก็ตาม บาปนั้นหมดโอกาสลงโทษท่านตลอดไปทุกชาติจนกว่าท่านจะเข้า พระนิพพาน

เมื่อไรจะไปนิพพาน
ในเมื่อท่านปฏิบัติได้ตามนี้ครบถ้วนแล้ว จะไปนิพพานเมื่อไรท่านตรัสไว้ดังนี้คือ
  1. ถ้ามีอารมณ์เข้มข้น คือบารมีเข้มแข็ง บารมี คือ กำลังใจ มีกำลังมั่นคงปฏิบัติแบบเอาจริงไม่เลิกถอนหรือย่อหย่อนแต่ไม่ทำจนเครียดเอาแค่นึกได้เต็มใจทำจริงอยู่ในเกณฑ์อารมณ์เป็นสุข อย่างนี้ท่านบอกว่าตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ชาติเดียว ในชาตินั้นเองเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานในชาตินั้น
  2. ถ้ามีบารมีคือกำลังใจปานกลาง ทำไปไม่ละแต่การทำนั้นอ่อนบ้างเข้มแข็งบ้าง อย่างนี้เกิดเป็นมนุษย์อีกสามชาติไปนิพพาน
  3. ประเภทกำลังใจอ่อนแอ ทำได้ครบจริงแต่ระยะการกระตือรือล้นมีน้อยปล่อยประเภทช่างเถอะตามเดิม ฉันรักษาได้ไม่ขาดก็แล้วกัน อย่างนี้ท่านว่า มาเกิดเป็นมนุษย์อีกเจ็ดชาติไปนิพพาน
รวมความแล้ว ประเภทแข็งเปรี๊ยะไปนิพพานเร็วประเภทแข็งบ้างอ่อนบ้างไปนิพพานช้านิดหนึ่ง ประเภทอ่อนไม่ค่อยจะแข็ง แต่ไม่ยอมทิ้งความดีที่ปฏิบัติได้ เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง อย่างนี้ถึงช้านิดหนึ่ง แต่ก็ต้องถือว่าเป็นผู้มีโชคดีเหมือนกันหมดคืองดโทษบาปที่ทำมาแล้วทั้งหมดมีกำลังเข้าพระนิพพานแน่นอนถ้ายังไปนิพพานไม่ได้แต่เมื่อมาเกิดเป็นคนก็เป็นคนพิเศษ มีรูปสวยรวยทรัพย์เป็นต้น
ตายจากคนก็เป็น เทวดา นางฟ้า หรือพรหม ต้องถือว่าโชคดีมากเป็นอันว่า กรรมฐาน-ปฏิบัติด้วยตนเองแบบง่าย ๆ แต่ไปถึงนิพพานได้ก็ยุติกันเพียงเท่านี้

.

วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตัวเองแบบง่ายๆ หน้า 3

อุปจารสมาธิ
อุปจารสมาธิ หมายถึง สมาธิเฉียดฌาน คือ ใกล้จะถึงปฐมฌาน มีกำลังใจเป็นสมาธิสูงกว่าขณิกสมาธิเล็กน้อยต่ำกว่าปฐมฌานนิดหน่อยเป็นสมาธิที่มีอารมณ์ชุ่มชื่นเอิบอิ่มผู้ปฏิบัติพระกรรมฐานถ้าอารมณ์เข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว จะมีความเอิบอิ่มชุมชื่นไม่อยากเลิก ท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงสมาธิขั้นนี้ จึงต้องระมัดระวังตัวให้มาก เคยพักผ่อนเวลาเท่าไร เมื่อถึงเวลานั้นต้องเลิกและพักผ่อน

ถ้าปล่อยอารมณ์ความชุ่มชื่นที่เกิดแก่จิตไม่คิดจะพักผ่อน ไม่ช้าอาการเพลียจากประสาทร่างกายจะเกิดขึ้น ในที่สุดอาจเป็นโรคประสาทได้ ที่ต้องรักษาประสาทก็เพราะปล่อยใจให้เพลิดเพลินเกินไปจนไม่ได้พักผ่อน ต้องเชื่อคำเตือนของพระพุทธเจ้าที่ท่านแนะนำ ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ มี ท่านอัญญาโกณฑัญญะ เป็นประธานโดยที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เธอทั้งหลายจงละส่วนสุดสองอย่างคือ
  1. ปฏิบัติเครียดเกินไป จนถึงขั้นทรมานตน คือเกิดความลำบาก
  2. ความอยากได้เกินไป จิตใจวุ่นวายเพราะความอยากได้ จนอารมณ์ไม่สงบ
ถ้าเธอทั้งหลายติดอยู่ในส่วนสุดสองอย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ผลในการปฏิบัติคือ มรรคผลจะไม่มีแก่เธอเลย ขอให้ทุกคนตั้งอยู่ใน มัชฌิมาปฏิปทา คืออารมณ์ปานกลางได้แก่ อารมณ์พอสบาย

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแนะไว้อย่างนี้ ก็ยังมีบางท่านฝ่าฝืนปฏิบัติเพลิดเพลินเกินไป ไม่พักผ่อนตามเวลาที่เคยพักผ่อน จึงเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านวุ่นวายจนเป็นโรคประสาท ทำให้ พระพุทธศาสนาต้องถูกกล่าวหาว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานทำให้คนเป็นบ้า ฉะนั้น ขอท่านนักปฏิบัติทุกท่าน จงอย่าฝืนคำแนะนำของพระพุทธเจ้า

จงรู้จักประมาณเวลาที่เคย พักผ่อน ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ และปฏิบัติแค่อารมณ์สบาย ถ้าเกินเวลาพักที่เคยพักก็ดี อารมณ์ฟุ้งซ่านวุ่นวายคุมไม่อยู่ก็ดีขอให้พักการปฏิบัติเพียงแค่นั้น พักให้สบาย พอใจผลที่ได้ แล้วเพียงนั้น ปล่อยอารมณ์ใจให้รื่นเริงไปตามปกติ

นิมิตทำให้บ้า
มีเรื่องที่จะทำให้บ้าอีกเรื่องหนึ่งคือ นิมิต นิมิตคือภาพที่ปรากฏให้เห็นเพราะเมื่อกำลังสมาธิเข้าถึงระยะอุปจารสมาธินี้ จิตใจเริ่มสะอาดจากกิเลสเล็กน้อย เมื่อจิตเริ่มสะอาดจากกิเลสพอสมควรตามกำลังของ สมาธิที่กดกิเลสไว้ ยังไม่ใช่การตัดกิเลส อารมณ์ใจเริ่มเป็นทิพย์นิด ๆ หน่อย ๆ ยังไม่มีความเป็นทิพย์ทรงตัวพอที่จะเป็นทิพจักขุญาณได้ จิตที่สะอาดเล็กน้อยนั้นจะเริ่มเห็นภาพนิด ๆ หน่อย ๆ ชั่วแว้บเดียวคล้ายแสงฟ้าแลบคือ ผ่านไปแว้บหนึ่งก็หายไป

ถ้าต้องการให้เกิดใหม่ก็ไม่เกิดเรียกร้องอ้อนวอนเท่าไรก็ไม่มาอีก ท่านนักปฏิบัติต้องเข้าใจตามนี้ว่าภาพอย่างนี้เป็นภาพที่ผ่านมาชั่วขณะจิตไม่สามารถบังคับภาพนั้นให้กลับมาอีกได้ หรือบังคับให้อยู่นานมาก ๆ ก็ไม่ได้เหมือนกันภาพที่ปรากฏนี้จะทรงตัวอยู่นานหรือไม่นานอยู่ที่สมาธิของท่าน เมื่อภาพปรากฏถ้ากำลังใจของท่านไม่ตกใจพลัดจากสมาธิ ภาพนั้นก็ทรงตัวอยู่นานเท่าที่สมาธิทรงตัวอยู่ ถ้าเมื่อภาพปรากฏท่านตกใจ สมาธิก็พลัดตกจากอารมณ์ ภาพนั้นก็จะหายไป

ส่วนใหญ่จะลืมความจริงไปว่า เมื่อภาพจะปรากฏนั้นเป็นอารมณ์สงัดไม่มีความต้องการอะไรจิตสงัดจากกิเลสนิดหน่อยจึงเห็นภาพได้ ครั้นเมื่อภาพปรากฎแล้ว เกิดมีอารมณ์อยากเห็นต่อไปอีก อาการอยากเห็นนี้แหละเป็นอาการฟุ้งซ่านของจิต จิตตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส จิตมีความสกปรกเพราะกิเลส อย่างนี้ต้องการเห็นเท่าไรก็ไม่เห็น เมื่อไม่เห็นตามความต้องการก็เกิดความกลุ้ม ยิ่งกลุ้มความฟุ้งซ่านยิ่งเกิด เมื่อความปรารถนาไม่สมหวังในที่สุดก็เป็นโรคประสาท (บางรายบ้าไปเลย) ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่เชื่อตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำไว้ว่าจงอย่ามีอารมณ์อยากหรืออย่า ให้ความอยากได้เข้าครอบงำบังคับบัญชาจิต

เมื่อนิมิตเกิดขึ้นควรทำอย่างไร

คำว่า นิมิต มี ๒ ประเภทคือ นิมิตที่เราสร้างขึ้น กับ นิมิตที่ลอยมาเอง
  1. นิมิตที่เราสร้างขึ้น จะแนะนำในระยะต่อไป นิมิตประเภทนี้ต้องรักษาหรือควบคุมให้ทรงอยู่ เพราะเป็นนิมิตที่สร้างกำลังใจให้ทรงสมาธิได้นาน หรืออาจสร้างกำลังสมาธิให้ทรงอยู่นานตามที่เราต้องการ
  2. นิมิตลอยมาเอง สำหรับนิมิตประเภทนี้ในที่บางแห่งท่านแนะนำว่า ควรปล่อยไปเลยอย่าติดใจจำภาพนั้น หรือไม่สนใจเสียเลย เพราะเป็นนิมิตที่ไม่มีความแน่นอนถ้าขืนจำหรือจ้องต้องการภาพ ภาพนั้นจะหายไป กำลังใจจะเสีย แต่บางท่านแนะนำว่าเมื่อนิมิตเกิดขึ้นจะปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปในนิมิตนั้นก็ได้ เพราะใจจะได้เป็นสุข จะมีความชุ่มชื่นในนิมิตนั้น เป็นเหตุให้ทรงสมาธิได้ดี แต่จงอย่าหลงในนิมิตถ้านิมิตหายไปก็ปล่อยใจไปตามสบาย ไม่ติดใจในนิมิตนั้นคงภาวนาไปตามปกติ
ทั้งสองประการนี้ ขอให้ท่านนักปฏิบัติเลือกเอาตามแต่อารมณ์ใจจะเป็นสุข แต่ขอเตือนไว้นิดหนึ่งว่าเมื่อนิมิตปรากฏขึ้น ถ้าปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับนิมิต ท่านอย่าลืมว่าเมื่อนิมิตหายไปนั้นเพราะใจเราพลัดจากสมาธิ ให้เริ่มตั้งอารมณ์โดยจับลมหายใจและภาวนาไปใหม่ไม่สนใจกับภาพนิมิตที่หายไปจงอย่าลืมว่านิมิตเกิดขึ้นมาเพราะจิตมีสมาธิ และเราไม่อยากเห็นจึงเป็นได้ และ นิมิตนั้นไม่ใช่ทิพจักขุญาณ เมื่อหายไปก็เชิญหายไปเราไม่สนใจกับนิมิตอีกเราจะรักษาอารมณ์ใจให้เป็นสุขจากคำภาวนาและรู้ลมหายใจต่อไป ถ้าความกระวนกระวายเกิดขึ้นให้เลิกเสียทันที

สร้างนิมิตให้เกิดขึ้น
เรื่องสร้างนิมิตนี้ ในที่นี้ไม่มีการบังคับ ท่านต้องการสร้างก็สร้าง ท่านไม่ต้องการสร้างก็ไม่ต้องสร้าง สุดแล้วแต่ความต้องการ ขอแนะนำผู้ที่ต้องการสร้างไว้ดังนี้การสร้างนิมิตมีหลายแบบ แต่ทว่าในหนังสือนี้แนะนำกรรมฐานหลัก คือ พุทธานุสสติ-กรรมฐาน จึงขอแนะนำเฉพาะกรรมฐานกองนี้ อันดับแรกขอให้ท่านหาพระพุทธรูปที่ท่านชอบใจสักองค์หนึ่ง ถ้าบังเอิญหาไม่ได้ก็ไม่ต้องหาให้นึกถึงพระพุทธรูปที่วัดไหนก็ได้ที่ท่าน
ชอบใจที่สุด ถ้านึกถึงพระพุทธรูปแล้วใจไม่จับในพระพุทธรูป จิตจดจ่อในรูปพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่ท่านชอบก็ได้ เมื่อนึกถึงภาพพระพุทธรูปก็ดี ภาพพระสงฆ์ก็ดี ให้จำภาพนั้นให้สนิทใจแล้วภาวนาว่า "พุทโธ" พร้อมกับจำภาพ พระนั้น ๆ ไว้

ถ้าท่านมีพระพุทธรูปให้ท่านนั่งข้างหน้าพระพุทธรูป ลืมตามองดูพระพุทธรูปแล้วจดจำภาพพระพุทธรูปให้ดี รูปพระพุทธรูปนั้นเป็นกรรมฐานได้สองอย่างคือ เป็นพุทธานุสสติ นึกถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ และเป็นกสิณก็ได้ เมื่อท่านมีความรู้สึกว่า รูปที่ตั้งอยู่ข้างหน้าเรานี้เป็นพระพุทธรูป ความรู้สึกอย่างนั้นของท่านเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้ามีความรู้สึกตามสีของพระพุทธรูป เช่น พระพุทธรูปสีเหลือง เป็น ปิตกสิณ ถ้าพระพุทธรูปเป็นสีขาว เป็น โอทา-ตกสิณ ถ้าพระพุทธรูปสีเขียว เป็น นีลกสิณ ทั้งสามสีนี้ สีใดสีหนึ่งก็ตามเป็นกสิณระงับโทสะ
เหมือนกัน

เมื่อท่านจะสร้างนิมิตให้ทำดังนี้ อันดับแรกให้ลืมตามองดูพระพุทธรูป จำภาพพระพุทธรูปพร้อมทั้งสีให้ครบถ้วน ในขณะนั้นเมื่อเราเห็น สีพระพุทธรูปไม่ต้องนึกว่าเป็นกสิณอะไรตั้งใจจำเฉพาะพระพุทธรูปเท่านั้น เมื่อจำได้แล้วหลับตานึกถึงภาพพระพุทธรูปนั้นภาวนาควบกับลมหายใจเข้าออกไปตามปกติ เมื่อภาวนาไปไม่นานนัก ภาพพระอาจจะเลือนจากใจ เรื่องภาพเลือนจากใจนี้เป็นของธรรมดาของผู้ฝึกใหม่ เมื่อภาพเลือนไปก็ลืมตาดูภาพพระใหม่ทำอย่างนี้สลับกันไป เมื่อเวลาจะนอนให้จำภาพพระไว้ตั้งใจนึกถึงภาพพระ อนภาวนาจนหลับไป ทั้ง ๆที่จำภาพพระไว้อย่างนั้น แต่ถ้าภาวนาไปเกิดมีอารมณ์วุ่นวายนอนไม่ยอมหลับ ต้องเลิกจับภาพ พระและเลิกภาวนาปล่อยใจคิดไปตามสบายของใจมันจนกว่าจะหลับไป

อานิสงส์สร้างนิมิต
การสร้างนิมิตมีอานิสงส์อย่างนี้คือ ทำให้ใจเกาะนิมิตเป็นสมาธิได้ง่าย และทรงสมาธิได้นานตามสมควร สามารถสร้างจิตให้เข้าถึงระดับฌานได้รวดเร็ว

ขั้นตอนของนิมิต
นิมิตขั้นแรกเรียกว่า อุคหนินิมิต อุคหนิมิตนี้มีหลายขั้นตอน ในตอนแรกเมื่อจำภาพพระได้จนติดใจแล้ว (ไม่ใช่ติดตา) ต้องเรียกว่า ติดใจ เพราะใจนึกถึงภาพพระจะนั่ง นอนยืน เดิน ไปทางไหน หรืออยู่ที่ใดก็ตาม ต้องการนึกถึงภาพพระ ใจนึกภาพได้ทันทีทันใดมีความรู้ในภาพพระนั้นครบถ้วนไม่เลือนลางอย่างนี้เรียกว่า "อุคหนิมิตขั้นต้น" เป็นเครื่องพิสูจน์อารมณ์สมาธิได้ดีกว่าการนับ ถ้าสมาธิยังทรงอยู่ ภาพนั้นจะยังทรงอยู่กับใจ ถ้าสมาธิสลายตัวไป ภาพนั้นจะหายไปจากใจถ้าท่านทำได้เพียงเท่านี้ อานิสงส์ คือบุญบารมีที่ท่าน
จะได้

อุคหนิมิตขั้นที่สอง เมื่อสมาธิทรงตัวมากขึ้น ภาพพระจะชัดเจนมากขึ้นจะใสสะอาดผุดผ่องกว่าภาพจริงถ้าท่านนึกขอให้ภาพพระนั้นสูงขึ้นภาพนั้นจะสูงขึ้นตามที่ท่านต้องการต้องการให้อยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง เล็กลงหรือใหญ่ขึ้นจะเป็นไปตามนั้นทุกประการ อย่างนี้จัดเป็นอุคหนิมิตขั้นที่สองสมาธิจะทรงตัวได้ดีมาก จะสามารถทรงเวลาได้นานตามที่ต้องการ

อุคหนิมิตขั้นที่สาม เป็นขั้นสุดท้ายของอุคหนิมิต เมื่อภาพนิมิตคือภาพพระปรากฏให้ถือเอาสีเหลืองเป็นสำคัญ ความจริงสีอื่นก็มีสภาพเหมือนกันแต่จะอธิบายเฉพาะสีเหลืองเมื่อสมาธิทรงตัวเต็มอัตรา ภาพสีเหลืองหรือสีอื่นก็ตาม จะค่อย ๆ คลายตัวเป็นสีขาวออกมาทีละน้อย ๆ ในที่สุดจะเป็นสีขาวสะอาดและหนาทึบอย่างนี้ถือว่า เป็นอุคหนิมิตขั้นสุดท้ายถ้าประสงค์จะใช้เป็น ทิพจักขุญาณก็ใช้ในตอนนี้ได้ทันที แต่ต้องมีความฉลาดและอาจหาญพอ ถ้าไม่ฉลาดและอาจหาญไม่พอก็จะสร้างความเละเทะให้เกิดมากขึ้น วิชาทิพจักขุญาณเป็นหลักสูตรของวิชชาสาม ในที่นี้แนะนำในหลักสูตรสุกขวิปัสสโก จึงของดไม่อธิบายเพราะ
จะทำให้เฝือและวุ่นวายว่าไปตามทางของ สุกขวิปัสสโก ดีกว่าอุคหนิมิตนี้เป็นนิมิตของ อุปจารสมาธิ จึงยังไม่อธิบายถึง อัปปนาสมาธิ

อาการและอารมณ์ของอุปจารสมาธิ
อาการของอุปจารสมาธิคือ ปีติได้แก่อารมณ์ความอิ่มใจเมื่อทำมาถึงตอนนี้อารมณ์จะชุ่มชื่นมาก อารมณ์สะอาดเยือกเย็น มีความเป็นสุขอย่างยอดเยี่ยม ไม่เคยพบความสุขอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต ตอนนี้เวลาภาวนาลมหายใจจะเบากว่าปกติมาก อารมณ์เป็นสุขร่างกายของนักปฏิบัติที่เข้าถึงระดับนี้ ผิวหนังจะนวลขึ้นเพราะอารมณ์ที่มีความสุขแต่อาการทางร่างกายนี่สิที่ทำให้นักปฏิบัติตกใจกันมากนั่นก็คือ
  1. อาการขนลุกซู่ซ่า เมื่อเกิดอาการอย่างนี้หรืออย่างอื่นที่กล่าวถึงต่อไปจะมีอารมณ์ใจเป็นสุข ขอให้ทุกท่านปล่อยอาการอย่างนั้นไปตามสภาพของร่างกาย จงอย่าสนใจ เมื่อสมาธิสูงขึ้น หรือลดตัวลงต่ำกว่านั้น อาการอย่างนั้นก็จะหมดไปเอง อาการขนลุกพองถ้ามีขึ้นพึงควรภูมิใจว่า เราเข้าถึงอาการของปีติระดับหนึ่งแล้ว อย่ากังวลอาการของร่างกาย
  2. อาการของปีติขั้นที่ ๒ ได้แก่อาการน้ำตาไหล
  3. อาการของปีติขั้นที่ ๓ คือร่างกายโยกโคลง โยกไปข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้างบางคราวโยกแรง จนศีรษะใกล้ถึงพื้น
  4. อาการของปีติขั้นที่ ๔ ตามตำราท่านว่าตัวลอยขึ้นบนอากาศ แต่ผลของการปฏิบัติไม่แน่นัก บางรายก็เต้นเหมือนปลุกตัว บางรายก็ตัวลอยขึ้นบนอากาศ เมื่อลอยไปแล้ว ถ้าสมาธิคลายตัวก็กลับมาที่เดิมเอง (อย่าตกใจ)
  5. อาการของปีติขั้นที่ ๕ คือ มีอาการแผ่ซ่านในร่างกายซู่ซ่าเหมือนมีลมไหลออกในที่สุดเหมือนตัวใหญ่และสูงขึ้น หน้าใหญ่แล้วมีอาการเหมือนลมไหลออกจากกาย ในที่สุดก็มีความรู้สึกว่าตัวหายไปเหลือแต่ท่อนหัว
อาการทั้งหมดนี้ เมื่อเกิดขึ้นอารมณ์ใจจะมีความสุข ฉะนั้น นักปฏิบัติให้ถืออารมณ์ใจเป็นสำคัญ อย่าตกใจในอาการตามที่กล่าวมาแล้วนั้น พอสมาธิสูงถึงระดับฌานก็จะสลายตัวไปเอง ปีตินี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วอารมณ์จะเป็นสุข คือถึงระดับที่สี่ ที่จะเข้าถึงปฐมฌาน ต่อไปก็เป็นปฐมฌานเพราะอยู่ชิดกัน

อัปปนาสมาธิหรือฌาน
ต่อไปนี้จะพูดหรือแนะนำใน อัปปนาสมาธิ คำว่า อัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิใหญ่ มีอารมณ์
มั่นคง เข้าถึงระดับฌาน ตั้งแต่ฌานที่หนึ่งถึงฌานที่สี่ แต่ก่อนที่จะพูดถึง อัปปนาสมาธิ ขอย้อน
มาอธิบายถึงอุปจารสมาธิเล็กน้อยก่อน การที่พูดมาแล้วเป็นการพูดในเรื่องของนิมิตโดยตรง
ท่านที่ไม่นิยมนิมิตจะไม่เข้าใจ

อุปจารสมาธิระดับสุดท้าย
เมื่อจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิขั้นสุดท้าย ถ้าผู้ปฏิบัติไม่สนใจในนิมิต หรือสร้างนิมิตให้เกิดขึ้นไม่ได้ ให้สังเกตอารมณ์ใจดังนี้ อารมณ์นี้มีเหมือนกันทั้งท่านที่ถือนิมิตหรือไม่ถือนิมิต คือจะมีความรู้สึกว่ามีอารมณ์ตั้งมั่นทรงตัวดี มีความชุ่มชื่นไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ มีอารมณ์เป็นสุขเยือกเย็นมาก ซึ่งไม่เคยพบมาเลยในชีวิต และมีอารมณ์เป็นหนึ่ง กำหนดอารมณ์ไว้อย่างไร อารมณ์ไม่เคลื่อนจากที่ตั้งอยู่ได้นาน ตอนนี้เป็น ฌาน อารมณ์ที่สังเกตได้คือ
  1. รู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออก คำภาวนาทรงตัว ไม่ลืมไม่เผลอไม่ฟุ้งไปสู่เรื่องอื่นนอกเหนือจากที่คิดจะภาวนา มีอารมณ์เต็มเปี่ยมด้วยกำลังใจไม่อิ่มไม่เบื่อไม่อยากลุกออกจากที่มีความสุขหรรษาเป็นพิเศษ ซึ่งไม่เคยมีความสุขใดในชีวิตที่เคยพบมาก่อนเลยมีอารมณ์ตั้งมั่นดิ่งอยู่ในที่เดียวเป็นพิเศษ (ข้อห้านี้เป็นฌาน) หูได้ยินเสียงทุกอย่างชัดเจนมากที่เข้ามากระทบประสาทหู เสียงคนหรือเสียงสัตว์ธรรมดาไม่ใช่เสียงทิพย์ แม้แต่เสียงเครื่องขยายเสียงที่มีเสียงดังมาก ตอนนี้ได้ยินทุกอย่างชัดเจนตามปกติแต่ไม่รำคาญในเสียงนั้นเลย คงภาวนาหรือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกได้เป็นปกติเหมือนไม่มีเสียงรบกวนลมหายใจจะเบากว่าเวลาปกติจนสังเกตได้ชัดอาการอย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน คือ ฌานที่หนึ่ง
  2. เมื่อจิตเป็นสมาธิในฌานที่สอง มีความรู้สึกดังนี้คือจะรู้สึกว่าคำภาวนาหายไปบางท่านหรือหลายท่านควรจะพูดว่า มากท่านก็คงไม่ผิดเมื่ออารมณ์เข้าถึงฌานที่สองใหม่ๆอารมณ์ยังไม่ชิน เมื่อขณะที่จิตทรงอยู่ในฌานนี้ จะมีความอิ่มเอิบสุขสบาย จะเผลอตัว เมื่อจิตมีสมาธิลดลง เพราะกำลังจิตถอยสมาธิ จะลดลงอยู่ที่อุปจารสมาธิ ตอนนี้อารมณ์คิด คือความรู้สึกก็เกิดขึ้น เมื่อจิตตั้งอยู่ในฌานจะไม่สามารถคิดอะไรได้ เพราะเอกัคคตารมณ์คืออารมณ์เป็นหนึ่งไม่มีอารมณ์คิดจะทรงตัวเฉยอยู่และไม่มีคำภาวนา คำภาวนานี้ตั้งแต่ฌานที่สองถึงฌานที่สี่จะไม่มีคำภาวนาเมื่อรู้สึกตัวว่าไม่ได้ภาวนาก็จะคิดว่าตนเองหลับไปหรือเผลอไป ความจริงไม่ใช่ ซึ่งเป็นอาการของฌานที่สอง
  3. เมื่อจิตมีสมาธิเข้าถึงฌานที่สาม ตอนนี้จะรู้สึกว่า ลมหายใจเบาลงมาเกือบไม่รู้สึกว่าหายใจ แต่ความจริงยังรู้สึกถนัดอยู่แต่เบามากนั่นเอง อาการทางร่างกายจะรู้สึกเหมือนเกร็งไปทั้งร่าง แต่ความจริงร่างกายเป็นปกติ แต่ที่มีความรู้สึกอย่างนั้นเป็นอาการของสมาธิ เสียงภายนอกที่เข้ามากระทบหูเกือบไม่ได้ยินเสียงนั้นเลยได้ยินแต่เบามาก จิตทรงอารมณ์เป็นหนึ่งสงัดดีมากเป็นพิเศษ อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่สาม
  4. อาการของฌานที่สี่ เมื่อจิตเข้าถึงฌานที่สี่ ฌานสี่นี้มีสองขั้นคือ หยาบ กับ ละเอียดสำหรับฌานหนึ่ง สอง สาม นั้น แต่ละฌานมีสามชั้นคือ หยาบ กลาง ละเอียด ที่ไม่อธิบายไว้ ก็เพราะกลัวจะเฝือ เพราะเมื่อฝึกได้ใหม่ยังไม่มีกำลังใจที่แน่นอน ประเดี๋ยวได้ประเดี๋ยวสลายตัวอธิบายละเอียดเข้าแทนที่จะเป็นผลดี จะกลายเป็นอาหารผสมยาพิษไปจุกจิกใจเข้าเลยเลิกดีกว่าเป็นอันว่ารู้กันว่าเป็นฌานชั้นที่สี่ก็พอ ฌานอื่นๆ พอรู้ว่าถึงฌานก็พอ

    จงอย่าลืมว่าเมื่อถึงฌานแล้วเวลาไม่นานก็พลัดจากฌาน คืออารมณ์ลดลงมาที่อารมณ์ปกติ ให้คิดว่าเราถึงฌานได้แล้วจะอยู่นานหรือไม่นานก็ช่าง เป็นอันว่าเราเข้าถึงธงชัยแล้วก็ดีถมไป วันนี้ฌานสลายตัววันหน้าเวลาหน้ายังมีอีก เมื่อเรายังไม่ตายเพียงใด เราก็เล่นเพลิดเพลินในฌานให้อารมณ์เป็นสุข เพื่อเพราะ กำลังสมาธิไว้เป็นกำลังช่วยตัดกิเลสในโอกาสหน้าต่อไป
เลอะเทอะมาเสียนาน ตอนนี้เข้าตอนฌานสี่กันเถอะ เมื่อจิตเข้าถึงฌานสี่หยาบตอนนั้นจะมีความรู้สึกว่า ลมหายใจหายไป ไม่รู้สึกว่าหายใจ แต่ที่จริงแล้วลมหายใจยังมีตามปกติแต่ทว่าจิตไม่รับทราบว่าร่างกายทำอะไร หายใจหรือไม่ จิตใจย่อมไม่รับรู้ตามท่านพูดว่าจิตกับประสาทแยกกันเด็ดขาด แต่ตอนฌานสี่หยาบนี้จิตแยกออกจากประสาทจริงแต่ยังไปไม่ไกลนัก ฉะนั้นเมื่อมีเสียงดังขนาดเครื่องขยายเสียงที่ดังมากๆ ตั้งอยู่ใกล้หูยังพอได้ยินแว่วๆ เหมือนอยู่ไกลกันมาก

เมื่อจิตเข้าถึงฌานสี่ละเอียด ตอนนี้สบายมาก เพราะไม่รู้อะไรเลย (ไม่ใช่หลับ) ภายในกำลังของจิตเข็มแข็งมาก มีความสว่างโพลง แต่จิตไม่ยอมรับรู้เรื่องของประสาทเลย ไม่ว่าเสียงหรือการกระทบกาย จิตไม่ยอมรับทราบด้วยประการทั้งปวง อาการของฌานสี่ที่ละเอียดเป็นอย่างนี้

ที่นำอาการของฌานมากล่าวไว้ที่นี้ก็เพราะว่าการปฏิบัติในหมวดสุกขวิปัสสโก ก็ทรงฌานเหมือนหมวดอื่นเหมือนกัน เพื่อนักปฏิบัติจะได้ทราบอาการเอาไว้ เพราะมีผู้มาถามเรื่องอาการของฌานนี้นับรายไม่ถ้วน บางรายถามแล้วถามอีกถามบ่อยๆ ชักสงสัยว่าทำจริงหรือเปล่า เพราะผู้ทำจริงเขาไม่ถามบ่อย เมื่อถามแล้วเอาไปปฏิบัติได้แล้วรู้เรื่องก็ไม่มีเรื่องถามต่อไป

พลัดตกจากฌาน
เรื่องอาการพลัดตกจากฌานนี้มีผู้ประสบกันมามาก แม้ผู้เขียนเองอาการอย่างนี้ก็พบมาตั้งแต่อายุ ๗ ปี ตอนนั้นถ้ามีอารมณ์ชอบใจอะไรจิตจะเป็นสุข สักครู่ก็มีอาการเสียววาบคล้ายพลัดตกจากที่สูง ตอนนั้นเป็นเด็กไม่ได้ถามใครเพราะไม่รู้เรื่องของฌาน เป็นอยู่อย่างนี้มานานเกือบหนึ่งปี เมื่อท่านแม่พาไปหา หลวงพ่อปาน หลวงพ่อท่านเห็นหน้า ท่านก็ถามท่านแม่ว่าเจ้าหนูคนนี้ชอบทำสมาธิหรือ ท่านถามทั้งๆ ที่เพิ่งเห็นหน้า ท่านแม่ยังไม่ได้บอกท่านเลย

หลวงพ่อปานท่านก็พูดของท่านต่อไปว่า เอ..เจ้าหนูนี่มันมี ทิพจักขุญาณ ใช้ได้แล้วนี่หว่าท่านหันมาถามผู้เขียนว่า เจ้าหนูเคยเห็นผีไหม" ก็กราบเรียนท่านว่า "ผีเคยมาคุยด้วยขอรับ แต่ทว่าเขาไม่ได้มาเป็นผี เขามาเป็นคนธรรมดาต่อเมื่อเขาจะลากลับเขาจึงบอกว่า เขาตายไปแล้วกี่ปี แล้วก็สั่งให้ช่วยบอกลูกบอกหลานเขาด้วย"หลวงพ่อปานท่านก็พูดต่อไปว่า "อาการที่เสียวใจคล้ายหวิวเหมือนคนตกจากที่สูงนั้นเป็นอาการที่จิตพลัดตกจากฌาน คือ เมื่อจิตเข้าถึงฌานมีอารมณ์สบายแล้วประเดี๋ยวหนึ่งอาศัยที่ความเข็มแข็งยังน้อย ไม่สามารถทรงตัวได้ ก็พลัดตกลงมา"

ท่านบอกว่า "ก่อนภาวนาให้หายใจยาวๆ แรงๆ สักสองสามครั้งหรือหลายครั้งก็ดีหายใจแรงยาวๆ ก่อน แล้วจึงภาวนา ระบายลมหยาบทิ้งไป เหลือแต่ลมละเอียดต่อไปอาการหวิวหรือเสียวจะไม่มีอีก" ถ้าทำครั้งเดียวไม่หายก็ทำเรื่อยๆ ไป เมื่อทำตามท่านก็หายจากอาการเสียว ใครมีอาการอย่างนี้ลองทำดูแล้วกัน หายหรือไม่หายก็สุดแล้วแต่เปอร์เซ็นต์ของคน คนเปอร์เซ็นต์มากบอกครั้งเดียวก็เข้าใจและทำได้แต่ท่านที่มีเปอร์เซ็นต์
พิเศษไม่ทราบผลเหมือนกัน (ตามใจเถอะ)เป็นอันว่าเรื่องสมาธิหมดเรื่องกันเสียที เรื่องปฏิภาคนิมิตก็ของดไม่อธิบายไม่รู้จะอธิบายไปทำไม เพราะพูดถึงฌานแล้วก็หมดเรื่องกัน อัปปนาสมาธิเป็นสมาธิขั้นฌานก็คืออารมณ์ฌานนั่นเอง ปฏิภาคนิมิตเป็นนิมิตของฌานมีรูปสวยเหมือนดาวประกายพรึกรู้เท่านี้ก็แล้วกัน


ความมุ่งหมายในการเจริญสมาธิ
การที่เจริญสมาธิมีความมุ่งหมายดังนี้คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระพุทธประสงค์เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ มีการเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉานเป็นต้น ถ้าจะเกิด ก็ต้องการเกิดเป็นมนุษย์ชั้นดี มีรูปสวย เสียงไพเราะ มีโรคน้อย มีอายุยืนยาวนานถึงอายุขัยมีทรัพย์สมบัติมาก มีความสุขเพราะทรัพย์สิน และทรัพย์สินไม่ถูกทำลายเพราะโจร ไฟ น้ำ ลมมีคนในปกครองดีไม่ฝ่าฝืนคำสั่ง มีเสียงไพเราะผู้ที่ฟังเสียงไม่อิ่มไม่เบื่อในการฟัง พูดเป็นเงินเป็นทอง (รวยเพราะเสียง) ไม่มีโรคประสาท หรือโรคบ้ารบกวน มีหวังพระนิพพานเป็นที่ไปแน่นอน

หรือมิฉะนั้นเมื่อยังไปนิพพานไม่ได้ ไปเกิดเป็นพรหมหรือเทวดาก่อนแล้วต่อไปนิพพานแต่ความประสงค์ของพระพุทธองค์มีพระพุทธประสงค์ให้ไปพระนิพพานโดยตรง


เกิดดีไม่มีอบายภูมิ
เมื่อยังต้องเกิดก็เกิดดีไม่มีการไปอบายภูมิ ท่านให้ปฏิบัติดังนี้ เราเป็นนักสมาธิ คือมีอารมณ์มั่นคง ถ้ามุ่งแต่สมาธิธรรมดาที่นั่งหลับตาปฏิบัติ ความดีไม่ทรงตัวได้นาน ต่อไปอาจจะสลายตัวได้ มีมากแล้วที่ทำได้แล้วก็เสื่อม และก็เสื่อมประเภทเอาตัวไม่รอด คือสมาธิหายไปเลย ในปัจจุบันนี้ที่ได้แล้วเสื่อมก็มีมาก เพื่อเป็นการป้องกันการเสื่อมและเป็นผู้มีหวัง ในการเกิดที่ดีแน่นอน ท่านให้ทำดังนี้
.

วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตัวเองแบบง่ายๆ หน้า 2

ขณิกสมาธิ
อารมณ์ที่ทรงสมาธิระยะแรกนี้จะทรงไม่ได้นาน เพราะเพิ่งเริ่มใหม่ ท่านเรียก สมาธิระยะนี้ว่า ขณิกสมาธิ คือสมาธิเล็กน้อย ความจริงสมาธิถึงแม้ว่าจะทรงอารมณ์ไม่ได้ นานก็มีอานิสงส์มาก


ฝึกทรงอารมณ์

อารมณ์ทรงสมาธิ ถึงแม้ว่าจะทรงไม่ได้นานแต่ท่านทำด้วยความเคารพก็มีผลมหาศาล แต่ถ้ารักษาอารมณ์ได้นานกว่า มีสมาธิดีกว่าจะมีผลมากกว่านั้นมาก การฝึกทรงอารมณ์ให้อยู่ นาน หรือที่เรียกว่ามีสมาธินานนั้น ในขั้นแรกให้ทำดังนี้ ให้ท่านภาวนาควบกับรู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้านึกว่า"พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" ดังนี้ นับเป็นหนึ่ง นับอย่างนี้สิบครั้งโดยตั้งใจว่าในขณะที่ภาวนาและรู้ลมเข้าลมออกอย่างนี้ ในระยะสิบครั้งนี้เราไม่ยอมให้อารมณ์อื่นเข้ามาแทรก คือไม่ยอมคิดอย่างอื่นจะประคองใจให้อยู่ ในคำภาวนา และรู้ลมเข้าลมออกทำครั้งละสิบเพียงเท่านี้ ไม่ช้าสมาธิของท่านจะทรงตัวอยู่อย่าง น้อยสิบนาทีหรือถึงครึ่งชั่วโมง จะเป็นอารมณ์ที่เงียบสงัดมากอารมณ์จะสบายจงพยายามทำ อย่างนี้เสมอๆ ทางที่ดีทำแบบนี้เมื่อเวลานอนก่อนหลับและตื่นใหม่ๆ จะดีมากบังคับอารมณ์ เพียงสิบเท่านั้นพอใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนจะสามารถทรงอารมณ์เป็นฌานได้เป็นอย่างดี


อย่าฝืนอารมณ์มากนัก
เรื่องของอารมณ์เป็นของไม่แน่นอนนัก ในกาลบางคราวเราสามารถควบคุมได้ตาม ที่เราต้องการ แต่ในกาลบางคราวเราก็ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะกระสับกระส่ายเสียจนคุม ไม่อยู่ ในตอนนั้นควรจะยอมแพ้มัน เพราะถ้าขืนต่อสู้จะเกิดอารมณ์หงุดหงิดหรือเครียดเกินไป ในที่สุดถ้าฝืนเสมอๆ แบบนั้นอารมณ์จะกลุ้ม สมาธิจะไม่เกิด สิ่งที่จะเกิดแทนก็คือ อารมณ์ กลุ้ม เมื่อปล่อยให้กลุ้มบ่อย ๆ ก็อาจจะเป็นโรคประสาทได้ ข้อที่ควรระวังก็คือ ทำแบบการนับดังกล่าวแล้วนั้น สามารถทำได้ถึงสิบครั้ง หรือบางครั้ง ทำได้เกินสิบก็ทำเรื่อย ๆ ไป ถ้าภาวนาไปไม่ถึงสิบอารมณ์เกิดรวนเรกระสับกระส่าย

ให้หยุดพัก ประเดี๋ยวหนึ่งแล้วทำใหม่ สังเกตดูอารมณ์ว่าจะสามารถควบคุมภาวนาไปได้ไหม ถ้าสามารถ ควบคุมให้อยู่ภายในขอบเขตของภาวนาได้ และรู้ลมหายใจเข้าออกควบคู่กันไปได้ดีก็ทำเรื่อยๆ ไป แต่ถ้าควบคุมไม่ไหวจริง ๆ ให้พักเสียก่อน จนกว่าใจจะสบายแล้วจึงทำใหม่หรือเลิกไปเลย วันนั้นพัก ไม่ต้องทำเลยปล่อยอารมณ์ให้รื่นเริงไปกับการคุย หรือชมโทรทัศน์ หรือฟังวิทยุ หรือ หลับไปเลยเพื่อให้ใจสบายให้ถือว่าทำได้เท่าไรพอใจเท่านั้น ถ้าทำอย่างนี้ไม่ช้าจะเข้าถึงจุดดี คือ อารมณ์ฌาน คำว่า ฌาน คือ อารมณ์ชิน ได้แก่ เมื่อต้องการจะรู้ลมหายใจเข้าออกเมื่อไร อารมณ์ ทรงตัวทันที

ไม่ต้องเสียเวลาตั้งท่าตั้งทางเลย ภาวนาเมื่อไรใจสบายเมื่อนั้น แต่ทว่าอารมณ์ฌาน- โลกีย์ที่ทำได้นั้น เอาแน่นอนไม่ได้ เมื่อร่างกายปกติ ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ไม่ป่วยมันก็สามารถคุม อาการภาวนา หรือรู้ลมหายใจเข้าออกได้สบาย ไม่มีอารมณ์ขวาง แต่ถ้าร่างกายบกพร่องนิดเดียว เราก็ไม่สามารถคุมให้อยู่ตามที่เราต้องการได้ ฉะนั้น ถ้าหลงระเริงเล่นแต่อารมณ์สมาธิอย่างเดียว จะคิดว่าเราตายคราวนี้หวังได้สวรรค์ , พรหมโลก นิพพานนั้น (เอาแน่นอนไม่ได้) เพราะถ้าก่อนตายมีทุกขเวทนามาก

จิตอาจจะทรง อารมณ์ไม่อยู่ ถ้าจิตเศร้าหมองขุ่นมัวเมื่อก่อนตาย อาจจะไปอบายภูมิ คือ นรก,เปรต,อสุรกาย, สัตว์เดียรัจฉานได้ ถ้าหลงทำเฉพาะสมาธิ ไม่หาทางเอาธรรมะอย่างอื่นเข้าประคับประคอง ถ้า เมื่อเวลาตายเกิดมีอารมณ์เศร้าหมองเข้าครองใจ สมาธิก็ไม่สามารถช่วยได้ จึงต้องใช้ธรรมะ อย่างอื่นเข้าประคองใจด้วยธรรมะที่ช่วยประคองใจให้เกิดความมั่นคงไม่ต้องลงอบายภูมิมีนรก เป็นต้นก็ได้แก่ กรรมบถ ๑๐ ประการ คือ


กรรมบถ ๑๐ ประการ
  1. ไม่ฆ่าสัตว์ หรือไม่ทรมานสัตว์ให้ได้รับความลำบาก
  2. ม่ลักทรัพย์ คือไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่เขาไม่ให้ด้วยความเต็มใจ
  3. ไม่ทำชู้ในบุตรภรรยาและสามีของผู้อื่น (ขอแถมนิดหนึ่ง ไม่ดื่มสุราและเมรัยที่ทำให้มึนเมาไร้สติ)
  4. ไม่พูดจาที่ไม่ตรงความเป็นจริง
  5. ไม่พูดวาจาหยาบคายให้สะเทือนใจผู้รับฟัง
  6. ไม่พูดส่อเสียดยุให้รำตำให้รั่ว ทำให้ผู้อื่นแตกร้าวกัน
  7. ไม่พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล
  8. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของเขาไม่ยกให้
  9. ไม่คิดประทุษร้ายใคร คือไม่จองล้างจองผลาญเพื่อทำร้ายใคร
  10. เชื่อพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านด้วยดี

อานิสงส์กรรมบถ ๑๐
ท่านที่ปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ ท่านเรียกชื่อเป็นกรรมฐานกองหนึ่งเหมือนกัน คือ ท่านเรียกว่า สีลานุสสติกรรมฐาน หมายความว่าเป็นผู้ทรงสมาธิในศีล

ท่านที่ปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ ประการได้นั้น มีอานิสงส์ดังนี้
  1. อานิสงส์ข้อที่หนึ่ง จะเกิดเป็นคนรูปสวย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาว ไม่อายุสั้นพลันตาย
  2. อานิสงส์ข้อที่สอง เกิดเป็นคนมีทรัพย์มาก ทรัพย์ไม่ถูกทำลายเพราะโจร , ไฟไหม้ ,น้ำท่วม , ลมพัด จะมีทรัพย์สมบัติสมบูรณ์บริบูรณ์ขั้นมหาเศรษฐี
  3. อานิสงส์ข้อที่สาม เมื่อเกิดเป็นคนจะมีคนที่อยู่ในบังคับบัญชาเป็นคนดี , ไม่ดื้อด้าน อยู่ภายในคำสั่งอย่างเคร่งครัด มีความสุขเพราะบริวาร และการไม่ดื่มสุราเมรัยเมื่อเกิด เป็นคนจะไม่มีโรคปวดศีรษะที่ร้ายแรง, ไม่เป็นโรค เส้นประสาท, ไม่เป็นคนบ้าคลั่ง จะเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์, มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
  4. เรื่องของวาจา - อานิสงส์ข้อที่สี่, ข้อห้า, ข้อหก และข้อเจ็ด เมื่อเกิดเป็นคน จะเป็นคนปากหอมหรือมีเสียงทิพย์ คนที่ได้ยินเสียงท่านพูด เขาจะไม่อิ่มไม่เบื่อในเสียงของท่าน ถ้าเรียกตามสมัยปัจจุบัน จะเรียกว่าคนมีเสียงเป็นเสน่ห์ก็คงไม่ผิด จะมีความเป็นอยู่ที่เป็นสุข และทรัพย์สินมหา-ศาลเพราะเสียง
  5. เรื่องของใจ - อานิสงส์ข้อที่แปด ,ข้อเก้า และข้อสิบ เป็นเรื่องของใจ คืออารมณ์คิด ถ้าเว้นจาก การคิดลักขโมย เป็นต้น ไม่คิดจองล้างจองผลาญใคร, เชื่อพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตามคำสอน ของท่านด้วยความเคารพ, ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นคนมีอารมณ์สงบ, มีความสุขสบายทางใจ ความเดือดเนื้อร้อนใจในกรณีใดๆ ทุกประการจะไม่มีเลย มีแต่ความสุขใจอย่างเดียว
อานิสงส์รวม
เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์รวมแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานในขั้นนี้ ถึงแม้ว่าจะทรงสมาธิไม่ได้ นาน ตามที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ นั้น ถ้าสามารถทรงกรรมบถ ๑๐ ประการได้ครบถ้วน ท่านกล่าวว่าเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป

บาปที่ทำไว้ตั้งแต่สมัยใดก็ตาม ไม่มี โอกาส นำไปลงโทษในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น อีกต่อไปถ้าบุญบารมีไม่มากกว่านี้ ตายจากคนไปเป็นเทวดาหรือพรหม เมื่อหมดบุญแล้วลงมา เกิดเป็นมนุษย์ จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้น แต่ถ้าเร่งรัดการบำเพ็ญเพียรดี , รู้จักใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผล ก็สามารถบรรลุมรรคผลเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาตินี้แนะวิธีรักษากรรมบถ ๑๐ ประการ

การที่จะทรงความดีเต็มระดับตามที่กล่าวมาให้ครบถ้วน ให้ปฏิบัติดังนี้
  1. คิดถึงความตาย ไว้ในขณะที่สมควร คือไม่ใช่ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อตื่นขึ้นใหม่ ๆอารมณ์ใจยังเป็นสุข ก่อนที่จะเจริญภาวนาอย่างอื่น ให้คิดถึงความตายก่อน คิดว่าความตายอาจจะเข้ามาถึงเราในวันนี้ก็ได้ จะตายเมื่อไรก็ตามเราไม่ขอลงอบายภูมิ ที่เราจะไปคือ อย่างต่ำไปสวรรค์ , อย่างกลางไปพรหม ถ้าไม่เกินวิสัยแล้วขอไปนิพพานแห่งเดียว คิดว่าไปนิพพานเป็นที่พอใจที่สุดของเรา
  2. คิดต่อไปว่า เมื่อความตายจะเข้ามาถึงเราจะเป็นเวลาใดก็ตาม เราขอยึดพระพุทธเจ้าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต คือไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า ยอมเคารพด้วยความศรัทธา คือความเชื่อถือในพระองค์ ขอปฏิบัติตามคำสอน คือกรรมบถ ๑๐ ประการโดยเคร่งครัด ถ้าความตายเข้ามาถึงเมื่อไรขอไปนิพพานแห่งเดียว
เมื่อนึกถึงความตายแล้ว ตั้งใจเคารพ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกแล้วตั้งใจนึกถึงกรรมบถ ๑๐ ประการว่ามีอะไรบ้าง ตั้งใจจำ และพยายามปฏิบัติตามอย่าให้พลั้งพลาดคิดติดตามข้อปฏิบัติเสมอว่า มีอะไรบ้าง ตั้งใจไว้เลยว่า วันนี้เราจะไม่ยอมละเมิดสิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งเป็นอันขาด เป็นธรรมดาอยู่เองการที่ระมัดระวังใหม่ๆ อาจจะมีการพลั้งพลาดพลั้งเผลอในระยะต้นๆ บ้างเป็นของธรรมดา แต่ถ้าตั้งใจระมัดระวังทุกๆ วันไม่นานนักอย่างช้าไม่เกิน ๓ เดือน ก็สามารถรักษาได้ครบ

มีอาการชินต่อการรักษาทุกสิกขาบทจะไม่มีการผิดพลาดโดยที่เจตนาเลย เมื่อท่านใดทรงอารมณ์กรรมบถ ๑๐ ประการได้โดยไม่ต้องระวังก็ชื่อว่าท่านทรงสมาธิขั้นขณิกสมาธิได้ครบถ้วนเมื่อตาย ท่านไปสวรรค์หรือพรหมโลกได้แน่นอนถ้าบารมียังอ่อนเกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียว ไปนิพพานแน่ ถ้าขยันหมั่นเพียรใช้ปัญญาแบบเบา ๆ ไม่เร่งรัดเกินไป รักษาอารมณ์ใจให้เป็นสุขไม่ติดในความโลภ ไม่วุ่นวายในความโกรธ มีการให้อภัยเป็นปกติ ไม่เมาในร่างกายเรา และร่างกายเขาไม่ช้าก็บรรลุพระนิพพานได้แน่นอน เป็นอันว่าการปฏิบัติขั้นขณิกสมาธิจบเพียงเท่านี้

.

วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่าย ๆ หน้า 1

วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่าย ๆ
มีท่านพุทธศาสนิกชนมากท่านได้มีจดหมายมาขอวิธีปฏิบัติกรรมฐานแบบง่ายๆ เพื่อฝึกด้วยตนเอง อาตมาจึงเขียนวิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองขึ้นเป็นแบบฝึกในหมวด สุกขวิปัสสโกคือฝึกแบบง่ายๆ ขอให้ท่านผู้สนใจปฏิบัติตามนี้

สมาธิ

อันดับแรก ขอให้ท่านผู้สนใจจงเข้าใจคำว่าสมาธิก่อนสมาธิ แปลว่า ตั้งใจมั่น หมายถึงการตั้งใจแบบเอาจริงเอาจังนั่นเอง ตามภาษาพูดเรียกว่า เอาจริงเอาจัง คือ ตั้งใจว่าจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นอย่างเคร่งครัด ไม่เลิกล้มความตั้งใจ

ความประสงค์ที่เจริญสมาธิ
ความประสงค์ที่เจริญสมาธิก็คือ ต้องการให้อารมณ์สงัดและเยือกเย็น ไม่มีความวุ่นวายต่ออารมณ์ที่ไม่ต้องการ และความประสงค์ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ อยากให้พ้นอบายภูมิคือ ไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายสัตว์เดียรัจฉาน อย่างต่ำถ้าเกิดใหม่ขอเกิดเป็นมนุษย์และ ต้องการเป็นมนุษย์ชั้นดี คือ
  1. เป็นมนุษย์ ที่มีรูปสวย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ไม่มีอายุสั้นพลันตาย
  2. เป็นมนุษย์ ที่มีความสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ทรัพย์สินไม่เสียหายด้วยไฟไหม้, โจรเบียด-เบียน, น้ำท่วม หรือลมพัดทำลายให้เสียหาย
  3. เป็นมนุษย์ ที่มีคนในปกครองอยู่ในโอวาทไม่ดื้อด้านดันทุรัง ให้มีทุกข์เสียทรัพย์สิน และเสียชื่อเสียง
  4. เป็นมนุษย์ ที่มีวาจาไพเราะ เมื่อพูดออกไปเป็นที่พอใจของผู้รับฟัง
  5. เป็นมนุษย์ ที่ไม่มีอาการปวดประสาท คือปวดศีรษะมากเกินไป ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้าคลั่งเสียสติ
รวมความว่าโดยย่อก็คือ ต้องการเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุขทุกประการ เป็นมนุษย์ที่มี ความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินทุกประการ ทรัพย์ไม่มีอะไรเสียหายจากภัย ๔ ประการคือ ไฟไหม้ ลมพัด โจรรบกวน น้ำท่วม และเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุข ไม่เดือดร้อนด้วยเหตุทุกประการ ฯลฯ


ประสงค์ให้เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์
  • บางท่านก็ต้องการไปเกิดบนสวรรค์ เป็นนางฟ้าหรือเทวดาที่มีร่างกายเป็นทิพย์ มีที่อยู่และ สมบัติเป็นทิพย์ไม่มีคำว่าแก่, ป่วยและยากจน (ความปรารถนาไม่สมหวัง) เพราะเทวดาหรือ นางฟ้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย มีความปรารถนาสมหวังเสมอ
  • บางท่านก็อยากไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งมีความสุขและอานุภาพมากกว่าเทวดาและนางฟ้า บางท่านก็อยากไปนิพพาน เป็นอันว่าความหวังทุกประการตามที่กล่าวมาแล้วนั้นจะมีผลแก่ทุกท่านแน่นอน ถ้าท่าน ตั้งใจทำจริง และปฏิบัติตามขั้นตอน
  • แบบที่บอกว่าง่ายๆ นี้ถ้าปฏิบัติได้ครบถ้วน ท่านจะได้ทุกอย่างตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด โดยใช้เวลาไม่นานนัก จะช้าหรือเร็วอยู่ที่ท่านทำจริงตามคำแนะนำหรือไม่เท่านั้นเอง

อารมณ์ที่ต้องการในขณะปฏิบัติ
สำหรับอารมณ์ที่ต้องการในขณะปฏิบัติ ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่า เวลานั้นต้องการอารมณ์สบาย ไม่ใช่อารมณ์เครียด เมื่อมีอารมณ์เป็นสุขถือว่าใช้ได้ อารมณ์เป็นสุขไม่ใช่อารมณ์ดับสนิทจนไม่รู้อะไร เป็นอารมณ์ธรรมดาแต่มีความสบายเท่านั้นเอง ยังมีความรู้สึกตามปกติทุกอย่าง

เริ่มทำสมาธิ
เริ่มทำสมาธิใช้วิธีง่าย ๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ใช้ธูปเทียนเท่าที่มีบูชาพระใช้เครื่องแต่งกายตามที่ท่านแต่งอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องแต่งตัวสีขาว ฯลฯ เป็นต้นเพราะไม่สำคัญที่เครื่องแต่งตัว ความสำคัญจริง ๆ อยู่ที่ใจ ให้คุมอารมณ์ใจให้อยู่ตามที่เราต้องการก็ใช้ได้

อาการนั่ง
อาการนั่ง ถ้าอยู่ที่บ้านของท่านตามลำพัง ท่านจะนั่งอย่างไรก็ได้ตามสบาย จะนั่งขัดสมาธินั่งพับเพียบ นั่งห้อยเท้าบนเก้าอี้ หรือ นอน ยืน เดิน ตามแต่ท่านจะสบาย ทั้งนี้หมายถึงหลังจากที่ท่าน บูชาพระแล้ว เสร็จแล้วก็เริ่มกำหนดรู้ลมหายใจเข้า

และหายใจออก คำว่า กำหนดรู้ คือหายใจเข้าก็รู้หายใจออกก็รู้ ถ้าต้องการให้ดีมาก ก็ให้สังเกตด้วยว่าหายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นขณะที่รู้ลมหายใจนี้ และเวลานั้นจิตใจไม่คิดถึงเรื่องอื่นๆ เข้าแทรกแซง ก็ถือว่าท่านมีสมาธิแล้วการทรงอารมณ์รู้เฉพาะลมหายใจเข้าออก โดยที่อารมณ์อื่นไม่แทรกแซง คือไม่คิดเรื่องอื่นในเวลานั้น จะมีเวลามากหรือน้อยก็ตาม ชื่อว่าท่านมีสมาธิแล้ว คือตั้งใจรู้ลมหายใจโดยเฉพาะ

ภาวนา
การเจริญกรรมฐานโดยทั่วไปนิยมใช้คำภาวนาด้วย เรื่องคำภาวนานี้อาตมาไม่จำกัดว่าต้องภาวนาอย่างไร เพราะแต่ละคนมีอารมณ์ไม่เหมือนกัน บางท่านนิยมภาวนาด้วยถ้อยคำสั้น ๆ บางท่านนิยมใช้คำภาวนายาว ๆ ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่ท่านจะพอใจ อาตมาจะแนะนำคำภาวนาอย่างง่ายคือ "พุทโธ" คำภาวนาบทนี้

ง่าย สั้น เหมาะแก่ผู้ฝึกใหม่ มีอานุภาพและมีอานิสงส์มากเพราะเป็นพระนามของพระพุทธเจ้า การนึกถึงชื่อของพระพุทธเจ้าเฉย ๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่อง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ว่าคนที่นึกถึงชื่อท่านอย่างเดียว ตายไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ไม่ใช่นับร้อยนับพัน พระองค์ตรัสว่านับเป็นโกฏิ ๆ เรื่องนี้จะนำมาเล่าข้างหน้าเมื่อถึงวาระนั้น

เมื่อภาวนาควบคู่กับรู้ลมหายใจจงทำดังนี้ เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" ภาวนาควบคู่กับรู้ลมหายใจตามนี้เรื่อย ๆ ไปตามสบาย ถ้าอารมณ์ใจสบายก็ภาวนาเรื่อย ๆ ไป แต่ถ้าเกิดอารมณ์ใจหงุดหงิดหรือฟุ้งจนตั้งอารมณ์ไม่อยู่ก็จงเลิกเสีย จะเลิกเฉย ๆ หรือดูโทรทัศน์ หรือฟังวิทยุหรือหาเพื่อนคุยให้อารมณ์สบายก็ได้ (เพื่อเป็นการผ่อนคลายอารมณ์) อย่ากำหนดเวลาตายตัวว่าต้องนั่งให้ครบเวลาเท่านั้นเท่านี้แล้วจึงจะเลิก ถ้ากำหนดอย่างนั้นเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านขึ้นมาจะเลิกก็เกรงว่าจะเสียสัจจะที่กำหนดไว้ ใจก็เพิ่มการฟุ้งซ่าน มากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ ก็จะเกิดเป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคบ้า ขอทุกท่านจงอย่าทนทำอย่างนั้น

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

VDO สอนวิปัสสนากรรมฐานโดยหลวงพ่อจรัญ ตอนที่ 1-9

สอนวิปัสสนากรรมฐานโดยหลวงพ่อจรัญ ตอนที่ 1/9


สอนวิปัสสนากรรมฐานโดยหลวงพ่อจรัญ ตอนที่ 2/9


สอนวิปัสสนากรรมฐานโดยหลวงพ่อจรัญ ตอนที่ 3/9


สอนวิปัสสนากรรมฐานโดยหลวงพ่อจรัญ ตอนที่ 4/9


สอนวิปัสสนากรรมฐานโดยหลวงพ่อจรัญ ตอนที่ 5/9


สอนวิปัสสนากรรมฐานโดยหลวงพ่อจรัญ ตอนที่ 6/9


สอนวิปัสสนากรรมฐานโดยหลวงพ่อจรัญ ตอนที่ 7/9


สอนวิปัสสนากรรมฐานโดยหลวงพ่อจรัญ ตอนที่ 8/9



สอนวิปัสสนากรรมฐานโดยหลวงพ่อจรัญ ตอนที่ 9/9

การฝึกสมาธิครั้งแรกในชีวิต

เมื่ออาตมา อายุได้ 3-4 ขวบ พ่อได้ฝึกให้อาตมามานั่งสมาธิเป็นประจำ พ่อบอกเสมอว่า
“ เมื่อจิตเป็นสมาธิ จะทำให้เรียนดี จำดี คิดดี ทำอะไรได้ผล และหากอำนาจสมาธิสูงขึ้น ก็จะแสดงฤทธิ์ได้อะไรได้”
อาตมาเมื่อยินเช่นนี้ ก็อยากระลึกชาติหนหลังได้ รู้จิตผู้อื่น และแสดงฤทธิ์ได้ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ มิความชอบเช่นนี้
สมัยอาตมายังเป็นเด็กก็ขี้เกียจนั่งสมาธิ แต่ถูกให้พ่อบังคับให้นั่งสมาธิฝึกให้ภาวนาว่า “ พุทโธ”
อาตมามาก็ถามโยมพ่อว่า “ พุท” หมายถึงอะไร “ โธ” หมาถึงอะไร
พ่อได้อธิบายว่า “ พุท” แปลว่า “ รู้” ส่วน “ โธ” แปลว่า “ เบิกบาน” แล้วพ่อยังพูดต่ออีกว่า
“ ต้องทำให้รู้ ให้เบิกบานให้ได้ อย่าท้อถอย”
สอนให้นั่งทำจนอายุได้ 5 ขวบ พ่อก็บังคับ แม่ก็บังคับ เวลาอาตมามานั่งว่า พุท หายใจเข้า โธ หายใจออกไปนี่ มันคันมันเบื่อ
ไม่อยากทำแล้วคัน และปวดเมื่อย อยากไปโดดน้ำเล่น ขึ้นปลายไม้แล้วกระโดดลงไปในน้ำ อยากไปเล่นของเล่นให้สนุกมากกว่า
ขณะที่นั่งสมาธิ อาตมาก็นึกว่า ไปชักว่าวดีกว่า สนุกดี พ่อบอกว่า
“ จำเนียร อย่านึกชักว่าว เดี๋ยวก็ตีหัวให้เท่านั้นเอง บอกให้หายใจเข้าพุท ออกโธ”
เอ ทำไมท่านรู้นะ เอ้านึกใหม่ นึกว่าปีนปลายไม้สูง กระโดดลงในน้ำ ทีแรกแปลงเอาหัวลง ทีที่สองม้วนตัวกลมเรียกว่ากระโดดลูกมะพร้าวตื้น สนุกเลย พ่อบอกว่า
“ จำเนียร อย่าคิดเรื่องขึ้นปลายไม้โดดลงน้ำไม่ได้นะ ต้องนึกว่า พุทโธ พุทโธ”
เอ อาตมาคิดไปไหนพ่อรู้นี่ อย่างงี้น่าศึกษาแบบนี้เหมือนกันนะ จะได้รู้หมด ทีหลังพวกเพื่อนโกหกอาตมาไม่ได้ อาตมารู้นะ อยากได้เหมือนกัน แต่ขี้เกียจ คิดใหม่ดีกว่า คิดว่าทำกลองมาตี ตุ้งๆ สนุกกว่า
“ อย่านึกตีกลอง เดี๋ยวกูตีหัวมึงเทานั้นเอง พูดไม่รู้เรื่อง”
ทีนี้ไม่กล้าคิดเรื่องกระโดดน้ำตีกลอง ต้องนึกว่าพุทโธๆ
วันหนึ่งพ่อบอกกับแม่ว่า (แม่ของอาตมาชื่อ ต้า)
“ ต้า วันนี้จะไปธุระ สองวันกว่าจึงจะกลับบ้าน จะไปดูคนไข้ คนป่วย คนบ้า ไปรักษาคนไข้ เขามาที่บ้านเราไม่ได้ ตัวระวังนะ อย่าให้ลูกจำเนียรคิดเรื่องอื่นเฝ้าให้ดี”
พอพ่อไป แม่คงไม่รู้ ถ้าแม่ไม่รู้ อาตมคิดสบายเลย ตื่นเต้นแล้ว พอพ่อออกเดินทาง แม่ก็ว่า
“ ถึงเวลาบ่าย 4 โมงแล้ว จำเนียรเข้านั่งสมาธิ”
อาตมาเข้านั่งสมาธิ นั่งยิ้ม นึกว่าแม่ไม่รู้อย่านึกเลย พุทโธ เสียเวลานักชักว่าวดีกว่า ทำว่าวตัวใหญ่ๆ อย่างดี พาวิ่งเลย ถ้าลมไม่มี ถ้ามีลมชักสนุก
นั่งชักว่าวอยู่พักหนึ่ง แม่บอกว่า
“ จำเนียร พ่อมึงสั่งว่าให้นึก พุทโธ อย่านึกชักว่าวเลย”
เอ สงสัยแม่ก็รู้เหมือนกันเอาใหม่ นึกว่าเอาทางมะพร้าวมาทำวัวเล่นในน้ำดีกว่า เจาะจมูกแล้วลากในคลองสนุก
แม่บอกว่า
“ จำเนียร อย่าคิดเรื่องเอาทางมะพร้าวมาทำวัวเล่นน้ำไม่ได้ ต้องคิดพุทโธ เดี๋ยวถูกตี เดี๋ยวพ่อมาตีน่าดู แม่ไม่กล้าโกหกพ่อเอ็งหรอก”
เอ แม่ก็รู้เหมือนกัน จะทำอย่างไรหมดหวัง เอาอีกที นึกว่าจะเอากระป๋อง เอาผ้าไปผูก แล้วเอาดินมาทำเป็นกลองตี เอาเชือกผูกทำให้ตึงแล้วตี ตุ้งๆ ดีกว่า 2-3 ลูกให้มีหลายเสียง
แม่บอกว่า
“ จำเนียรอย่าคิดตีกลองนะ เรื่องเอากระป๋องมาทำกลอง จะกี่เสียงก็ตาม อย่าไปคิด ให้คิดแต่ว่าพุทโธ เดี๋ยวพ่อตีเอาอีก เขาห้ามเรื่องตีกลอง เอาพุทโธ”
แม่ว่า อย่างนั้นถูกต้องแล้ว อาตมาก็ว่าแม่คงรู้มั้ง คิดอะไรก็ตามแม่ต้องพูดถูกทุกอย่าง ว่าอย่าคิดอย่างนั้นอย่างนี้ มานึกได้ว่าแม่นั้นชอบนั่งกรรมฐานเป็นประจำคงรู้ได้เหมือนพ่อ
ถ้าหากว่าอาตมาจะคิดเรื่องอื่นไมได้ มันไม่สนุก คิดตายดีกว่า หมดเรื่องไป ทีนี้โมโหแม่ แล้วไม่พอใจแม่แล้วเพราะแม่รู้เหมือนพ่อ ก็เลยนึกว่าตายๆๆ อย่างเดียว นั่งประชดให้ว่าตาย นึกว่าตายอย่างเดียว พอนึกว่าตายแน่ แม่ถามว่า “ ทำไมคิดเรื่องอะไร” ไม่ตอบๆ นึกว่าตายดีกว่า
ไม่คิดเรื่องเล่น ลูกคิดอะไร คิดแต่ว่าตาย แม่ฟังไม่ถนัด นึกว่าอะไร ทำไม นึกอะไร ท่านถามอย่างนั้นแล้วไปถามเพื่อนบ้านว่าใครมาสอน ถามพี่น้องว่าใครมาสอนให้ว่าอะไร ข้อนี้เดี๋ยวต้องถามพ่อ พ่อมาค่อยถามก็นั่งว่าอยู่จนกระทั่งรุ่งสว่าง
พ่อกลับมาจากรักษาคนป่วยมาเอาเครื่องยาที่บ้านเพิ่ม ก็ถามแม่ว่า
“ ต้า เมื่อคืนจำเนียรนั่งจนรุ่งเลยหรือ”
แม่บอกว่า “ นั่งตั้งแต่หัวค่ำ รุ่งสว่างยังไม่ลุก เรียกให้กินข้าวก็ไม่กินช่วยทีเถอะ”
พ่อมานั่งข้างหลังเอามือตบที่หัวเบาๆ แล้วก็นั่งพักหนึ่งจึงถามว่า
“ ต้า ใครมาสอนลูกเรา ทำไมสอนมรณสติ แล้วทำไมลูกว่าไม่หยุด”
แม่ถาม ” ว่าอะไร”
พ่อบอกว่า “ มรณสติแปลว่าระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์”
อาตมาว่า พ่อไม่รู้ พ่อพูดไม่ถูก เราว่าตายๆ แต่พ่อว่ามรณสติ
เมื่อก่อนพ่อก็พูดถูก แม่ก็พูดถูก แต่ทำไมวันนี้ทั้งพ่อและแม่พูดไม่ถูก ไม่ตรง หาว่าเรามรณสติ ไม่รู้อะไร แต่ความจริงคือ ความตายนั่นเอง
อาตมาว่า ตายๆ ท่านว่า มรณสติ เอ พ่อเคยรู้ทุกอย่าง วันนี้ไม่รู้สงสัยไปกินเหล้า หรือไปเที่ยวไม่รู้แล้ว ทีนี้ว่าตายๆ อย่างเดียว คืนนั้นก็ว่า ตายๆ เรื่อยไป เมื่อยก็เมื่อย คันก็คัน หิวก็หิว ปวดไปทั้งตัวทุกอย่างมันเกิดขึ้นพร้อมกันหมด
อาตมานึกว่าตายดีกว่า พอจิตหวิวๆ จะขาดช่วงนึกว่าตายจริงๆ กลัวว่า ถ้าตายแล้ว จะนรกยมบาลจะจับไปลงโทษ ต้องจับลงในกระทะน้ำร้อนตายแน่
อาตมาเคยตีปู ตีกุ้ง แมลงพี้ ตั๊กแตน มด ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากมาย จะตายก็กลัวลำบากอยู่ในนรกถูกยมบาลจับไปลงโทษ
แต่ถ้าจะไม่ตายก็กลัวถูกบังคับอีก จิตวุ่นวายมาก จะตายดี ไม่ตายดี แต่ใจยังท่องว่า ตายๆ ให้ตายอย่างเดียว ยุงกัดก็กัดให้ตาย หิวก็หิวให้ตาย ปวดก็ปวดให้ตาย
พอใกล้รุ่งสว่าง ช่วงหนึ่งจิตไม่อยากทำแล้ว จะลุกขึ้น จะเลิก ยอมแพ้เลิกเลย
แต่อีกใจหนึ่งยังนึกอยู่ว่า ถ้าเห็นยมบาลจึงค่อยหนีกลับ
อีกใจว่าต้องลำบากแน่ อย่าตายดีกว่าจะลุกขึ้นก็ลุกไม่ได้
พอเที่ยงวัน จิตริกๆ จะขาดๆ จะลุกขึ้นหนีก็ไม่ทันขาดวูบลงไปเลย พอสติขาดลงไปๆ มันรู้สึกสบาย มันมีความสุข ว่าง ใส ไม่มีใคร ไม่มียมบาล ไม่มีนางฟ้า ไม่มีสวรรค์ ไม่มีเทวดา ไม่มีอะไร สบายดี หูได้ยินเขาพูดกัน แต่ไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไร ฟังไม่ชัด แต่ว่าจิตใสอยู่ สงบอยู่แล้ว เกิดยิ้มขึ้นมา แม่เรียกพ่อมาดูว่า
“ ลูกมันทำอะไร มันยิ้ม มันคิดอะไร ทำไมฉันไม่รู้”
พ่อมาดูแล้วว่า
“ ลูกดับสมาธินี่ ไม่ใช่มรรค ผล นิพพาน”
เออ พ่อพูดถูก พ่อว่า ดับสมาธิ เพราะ ดับสมาธิ คือจิตนิ่ง แต่ไม่ใช่ มรรค ผล นิพพาน ไม่เห็นพระพุทธเจ้า ไม่เห็นพระอรหันต์ ไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นอะไร ไม่เห็นวิมาน ไม่เห็นนิพพานอะไรเลย มีแต่ว่างอยู่ แต่มีความสุขมาก
พ่อกับแม่อ้อนวอนว่า ให้ลุกขึ้น ก็ไม่อยากลุก กลัวความสุขนี้จะหายไป นึกในใจว่าจะนั่งเป็นเดือน เป็นปี
พอเลยเที่ยงมา แม่ปากหวานว่า
“ ลูกจำเนียร แม่มีบุญคุณลูกต้องเชื่อ”
พอนึกถึงบุญคุณ จิตมันอ่อนมาก และรักแม่ สงสารทันที ลุกก็ลุก และบอกกับแม่ว่า ถ้าผมลืมตาความสุขผมหายไปจะทำอย่างไร
แม่บอกว่า “ ลูกทำเองได้” เออ อาตมาโง่จริง อาตมานั่งใหม่ก็ได้ ทีหลังอาตมาแอบนั่ง ไม่ต้องลุกขึ้น ไปเลย แอบนั่งตอนหัวค่ำนั่งทันที พอเสร็จงานนั่งเลยสบายกว่านี้อีก พอลืมตาความสุขหายไปครึ่งหนึ่ง รู้สึกว่ามีตัวตนขึ้นมาอีกนิดหน่อย พอกินข้าวคำเดียวเท่านั้น ความร้อนเกิดขึ้น ตัวหนักขึ้นๆ หนักมากทีเดียว ความสุขไม่มีหายเกลี้ยง มีความทุกเหมือนกัน แต่ใจรักความสุขที่ได้พบ รักมากที่สุดไม่มีอะไรเท่า
อาตมาแอบไปนั่งในป่าช้า กลัวเขาตามก็เอาเชือกไปผูกกับกิ่งไม้แล้วมานั่งถืออยู่ พอใครเดินมาอาตมาก็ดึงกิ่งไม้ดังเช้งๆ คนตกใจนึกว่าผีหลอก แต่พ่อไม่กลัวผีเที่ยวตามหา ข้าวที่ตากแห้ง อาตมาใส่กระเป๋าตกเป็นทางพ่อตามไปเจอ ตอนพ่อมา อาตมาไม้รู้ว่าเป็นพ่อ เพราะนั่งหลับตาอยู่ พอได้ยินเสียงคน ก็เอามือดึงเชือกดังเช้งๆ พ่อไม่กลัวผีเดินไปใกล้ๆ เห็นสายเชือกก็เดินตามสายเชือก เห็นอาตมานั่งสมาธิ ตีปั๋งเช้าเลย ลุกขึ้นวิ่งเข้าบ้านเลย
พ่อบอกว่า “ อย่ามานั่งในป่าช้านั่งไม่ได้”
อาตมาว่า “ พ่อครับ อย่าตีผมตายนะครับ ผมยากได้ความสุขอันนั้นอีกสักครั้ง”
พ่อบอกว่า “ นั่นแหละ มรณสติ มรณะ แปลว่า ตาย สติแปล ว่าลึก ระลึกถึงความตาย”
อ้าวแล้วกัน อาตมานึกนี่เอง อาตมาว่าเอง คือนึกให้ตาย นั่งประชดให้ตายเท่านั้นเอง แต่ได้ผล ใจนั้นยังอยู่ในความว่าง ความสุขนั้นมากยังอยากที่เป็นอย่างนั้นให้ได้ ส่วนอารมณ์ที่แท้ปัจจุบันนี้ เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วนั้นไม่มีความสุขอะไรเลย

ตั้งแต่นั้นมาพยายามทำความเพียรด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอให้เขาใช้ให้ทำล่ะ พยายามหนีไปนั่งในป่าช้า ไม่ให้ใครไปพบบ้าง อะไรบ้าง หนีทำทุกวันเป็นประจำ

อาตมามีความซึ้งครั้งแรกที่เกิดขึ้น ความรัก ความใสบริสุทธิ์ ความซึ้งกับรักแม่นี้เท่ากัน ตามธรรมดารักแม่มาก กับพ่อไม่รัก กับพี่ กับน้อง กับคนอื่นก็ไม่รัก รักแต่แม่คนเดียว แต่อันนั้นยังอยากได้อยู่
บางครั้งตื่นขึ้นมาก็รีบนั่งสมาธิทันที เพราะอยากได้เหมือนเดิม พอถึงเวลาตอนบ่ายก็นั่งทันที พยายามหลบหลีไปนั่ง เวลาเขาใช้ให้ทำงาน ทำการ ก็ต้องใช้ให้ลุกขึ้น เพราะยังอยากได้อารมณ์อย่างนั้น ถ้าได้แล้วจะไม่ลุกต่อไปแล้ว จะนั่งให้สบายที่สุด คิดเสมอว่าจะหนีไปที่ไหน ให้พบกับความสุขอันนั้นอีกทีหนึ่ง แล้วจะไม่ลุกขึ้นอีกต่อไป อานิสงส์ที่พ่อแม่บังคับให้นั่งสมาธิและภาวนา มรณสติไม่รู้ตัวนึกว่าตายๆๆๆ อย่างเดียวยังติดมาตลอด

อาตมาชอบฟังพ่อพูดถึงกรรมฐาน พอท่านเล่าเรื่องเดินธุดงค์แล้วชอบฟัง เรื่องเดินธุดงค์ เรื่องไปเทศน์ที่ไหนๆ เจออุสรรคอย่างไร เจอช้าง เจอเสือ เดินธุดงส์แล้วหลงทาง 5 วัน 10 วัน ไม่ไดฉันข้าวอะไรเลย เรื่องอย่างนี้ชอบฟังจริงๆ แล้วศรัทธาชอบ ฟังท่านเล่าเรื่องแปลกๆ เช่น ไปเจอผีดุบ้าง อะไรต่ออะไร ไปรักษาคนบ้าบ้าง คนไข้ เป็นพระหมอไปในตัว ก็เลยทำให้ชอบเรื่องเหล่านี้ ท่านเล่าว่าบางครั้ง นั่งสมาธิ 2 วัน 3 วัน จนถึง 7 วัน

พ่อมักบ่นเสมอว่า ไม่น่าสึกมาเลย น่าจะอยู่เป็นพระตลอดไป เสียดายเพศบรรพชิต และเล่าชีวิตนักบวชที่มีแต่ความสงบสุข ไม่วุ่นวาย ยุ่งเหยิง แก่งแย่ง แข่งกิเลสกัน ให้อาตมาฟังตอนเป็นเด็กอยู่บ่อยๆ เลยทำให้อาตมาเกิดความเลื่อมใส รักที่จะเป็นพระตลอดมา
ตอนอายุ 6 ขวบเศษนี้ นึกอยากจะบวชแล้ว
ทำไมถึงอยากจะบวช
คำตอบก็คือถ้าบวชแล้วจะได้ทำสมาธิ มีความสุขที่สุด ไม่มีใครมากวนใจ และใช้วิชาหมอดู หมอรักษาโรคช่วยเหลือประชาชน

ออแอ อออา เมตตา พุทโธ

แม่เลี้ยงของอาตมา มีพ่อชื่อว่า นายอ้น หรือ ตาอ้น มีเมตตาสูง อดีตเป็นพรานป่า ตามามืดมัวเมื่อตอนแก่ แต่มีเมตตาน่าอัศจรรย์มาก

อาตมาก็ได้คาถามาท่อง ใช้อยู่กระทั่งเข้าบวชพระจึงเลิก ถาไม่เป็นพระก็ยังไม่เลิก สัตว์เล็กก็ดีสัตว์ใหญ่ก็ดี ไม่กล้าทำอะไรแก ตะขาบมานอนอยู่ได้กับตัว งูที่ดุก็ไม่กัด

ครั้งหนึ่งอาตมาเกิดศรัทธาขึ้นมา ตะขาบกัดคนอื่นแล้วมาหลบอยู่ในผ้าของตาอ้น พ่อของแม่เลี้ยงเราเรียกกันภาษาใต้ว่า พ่อเฒ่าอ้น (ถ้าพ่อของแม่เค้าเรียกว่าพ่อเฒ่า)

ตะขาบไม่กัด แกก็จะจับตะขาบไปทิ้งแล้วพูดว่า

“ ลูก อยู่กันดีๆ นะ อย่าทำอันตรายนะ”

แกก็จะจับตะขาบนี้ไปทั้งที่ตาแกไม่เห็น แกก็บอกให้ไปปลอดภัย เราก็สงสัย เขาทำไมตะขาบไม่กัด และยังมีงูเห่าตัวหนึ่งไข่อยู่หลังบ้าน

ดุมาก เด็กจะไปตี แกบอกไม่ให้ตีเมื่อถามแกว่า “ พ่อเฒ่าครับ งูดุนี้ทำอย่างไร ตีทิ้งดีไหม”

แกบอกว่า “ ไม่ต้องเดี๋ยวข้าจะเรียกเอง”

อาตมาก็จูงมือแกไป พอพ่อเฒ่าไปถึง งูมันหดหัวทันที ไม่แสดงอาการดุร้ายน่ากลัว

พอพ่อเฒ่าอ้นออกมา ไม่แสดงอาการน่ากลัวอีก แต่ในที่สุดงูก็ฟังเสียงแก ก็เลยเลื้อยหายไปเลย ไปไหนก็ไม่รู้ นึกสงสัยก็เลยถามพ่อเฒ่าว่า

“ พ่อเฒ่า ช่วยบอกคาถาเมตตา การปฎิบัติให้ผมทีเถอะ ทำไม่ศักดิ์สิทธ์มากเมตตาแปลกอัศจรรย์”

พ่อเฒ่าได้บอกว่า “ วันไหนแกฆ่ากวาง ฆ่าไก่ ฆ่าหมู สัตว์อื่นจะไม่ฆ่า ฆ่าเฉพาะสัตว์ที่ต้องการในวันนั้นเท่านั้น”

“ ถ้าอย่างนั้นพ่อเฒ่าก็ต้องฆ่าทีละอย่างจนหมดแหละ ก็เอาเปรียบสัตว์โลก”

“ ไม่ใช่ เราต้องมีสัจจะ ทำอะไรมีสัจจะ”

“ ผมขอคาถาได้ไหม”

แกบอกว่า

“ ได้! แต่ว่าเธอต้องถือให้จริงนะ ถ้าถือไม่จริง จะไม่เห็นผล”

อาตมาก็ตอบตกลง แกบอกว่า

“ เดี๋ยวบอกให้นะ ไม่ต้องจดล่ะ คาถาของเด็กผู้หญิง ออแอ เพราะเด็กผู้หญิงเกิดมาร้อง ออแอ อออา เป็นเด็กผู้ชายคำร้องของเด็กผู้ชาย

พระพุทธเจ้ามี เมตตาพุทโธ เมตตา แปลว่าความรักทั่วโลก และก็ พุทโธ แปลว่า ผู้ตื่นผู้เบิกบาน

คาถาสามคำนี่เป็นคาถาของเด็กอ่อนและพระพุทธเจ้า ก่อนจะสำเร็จก็ต้องเป็นเด็กมาก่อน ต้องมี ออแอ อออามาก่อนเหมือนกัน ”

อาตมาก็ชอบคาถานี้มาก แล้วอาตมาก็ท่อง

“ ออแอ อออา เมตตาพุทโธ” ท่องเรื่อยทุกวัน แกบอกว่าให้ทดสอบได้ อาตมาทดสอบครั้งแรกกับ ยายจันคือ ธรรมดายายจัน

แกแคะขนมครกขาย เมื่อเราวิ่งผ่าน แกก็จะคอยตีประจำแหละ แกว่าทำให้สกปรก

อาตมาว่าคาถา ออแอ อออา เมตตาพุทโธ ก็ท่องไปเรื่อง พอยกขาขวาก็ว่า ออแอ อออา เมตตาพุทโธ พอยกขาซ้ายก็ว่า ออแอ อออา เมตตาพุทโธ
ท่องด้วยความสำรวม มารยาทดีโดยไม่รู้ตัว พอไปถึงก็บอกว่า

“ ยายครับให้อภัยผมนะ ผมขอทางไปที”

แกบอกว่า “ เออวันนี้ดีนะ กูเตรียมไม้จะตีมึงน่ะ แต่วันนี้นิสัยดีมารยาทดีก็สงสาร”

เออ คาถานี่ขลัง และก็ให้ขนมครกกินด้วย ปกติแกไม่เคยให้เลย ก็เข้าใจว่าคาถานี่ขลัง มาบอกพ่อเฒ่า

“ พ่อเฒ่า ตอนนี้คนที่เกลียดผมกลับรักผมมาก”

“ เออ ว่าคาถาดีนะ”

พ่อเฒ่ายังบอกให้ลองเสกข้าวให้นกกิน ให้ไก่กิน ให้สัตว์กิน มันก็มากิน มาสนิทกับเรา นกป่าก็สนิทเพราะเราเสกข้าวให้กิน